วันที่ 12 ตุลาคม 2568 กระทรวงพาณิชย์ของจีน ออกแถลงการณ์ตอบโต้ สหรัฐอเมริกา หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน เพิ่มอีก 100% พร้อมควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญ โดยจีนประณามการกระทำดังกล่าวว่าเป็น ตัวอย่างชัดเจนของสองมาตรฐาน ที่จะยิ่งซ้ำเติมความตึงเครียดทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ ระบุเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ที่ผ่านมาว่า มาตรการภาษีใหม่จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 เพื่อโต้ตอบ การควบคุมการส่งออกแร่หายากของจีน ซึ่งเขามองว่าเป็น ท่าทีที่ก้าวร้าวอย่างยิ่ง โดยยังกล่าวผ่านแพลตฟอร์มทรูธ โซเชียลว่า การพบปะกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่เกาหลีใต้ในอีกสามสัปดาห์ข้างหน้า อาจไม่จำเป็นอีกต่อไป แม้ภายหลังเขาจะบอกกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า ยังไม่ได้ยกเลิกการพบปะดังกล่าว ก็ตาม ขณะที่ทางการจีนไม่เคยยืนยันการประชุมนี้อย่างเป็นทางการ
โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนชี้ว่า นับตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้ใช้มาตรการทางเศรษฐกิจหลายอย่างที่ “บ่อนทำลายผลประโยชน์ของจีนอย่างรุนแรง” และ ทำลายบรรยากาศของการเจรจาทางการค้า พร้อมเตือนว่า การข่มขู่ด้วยการขึ้นภาษี ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการมีส่วนร่วมกับจีน
ปัจจุบัน สินค้าจากจีนต้องเผชิญภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในอัตรา 30% ภายใต้มาตรการที่ทรัมป์บังคับใช้ก่อนหน้านี้ โดยอ้างเหตุผลเรื่องการค้าสารเฟนทานิลและการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ส่วนจีนตอบโต้ด้วยการตั้งภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่อัตรา 10%
แร่หายาก ถือเป็นประเด็นร้อนที่ผลักให้สงครามการค้าระหว่างสองประเทศกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง เนื่องจากเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตตั้งแต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงยุทโธปกรณ์ทางทหารและเทคโนโลยีพลังงานสะอาด โดยจีนยังคงเป็นผู้ผลิตและแปรรูปแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา จีนเพิ่งประกาศมาตรการควบคุมใหม่ในการส่งออกเทคโนโลยีที่ใช้ในการขุดและแปรรูปแร่ธาตุสำคัญ ซึ่งทรัมป์ตอบโต้ทันทีว่า จีนกำลัง “แสดงท่าทีเป็นปรปักษ์อย่างยิ่ง” และ ไม่ควรได้รับอนุญาตให้จับโลกเป็นตัวประกัน