วันที่ 8 ธันวาคม 2568 มีรายงานว่า เวลา 13:00 น. F-16 ทิ้งไข่อีกรอบที่ฐานตั้งของฝ่ายทหารเขมรในพื้นที่ช่องอานม้า #ภารกิจสำเร็จ

ก่อนหน้านี้ โฆษก ทบ. เผย สถานการณ์ปะทะแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ตอบโต้ตามแผนเผชิญเหตุ ยัน ใช้อากาศยานไร้คนขับ มุ่งทำลายพื้นที่ทางทหาร - จุดยิงอาวุธสนับสนุน พบ กพช. วางพิกัดยิงเข้ามาตอนใน ใกล้สนามบิน - รพ.
นื่องจากการใช้อาวุธโจมตีฝ่ายไทย เมื่อวานนี้ 14:50 น. บริเวณพื้นที่ภูผาเหล็ก พลาญหินแปด อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จากนั้น ตามมาอีกหลายพื้นที่ตลอดแนวชายแดน และมีโอกาสใช้อาวุธลักษณะนี้ในพื้นที่อื่น ๆ การใช้อาวุธตอบโต้เป็นไปตามแผนเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่ หลัก ๆ เพื่อต้องการให้เจตนาใช้อาวุธที่กระทำต่อฝ่ายไทยจำเป็นต้องใช้หลักการป้องกันตัวในกรอบของกฎการใช้กำลัง “การตอบโต้ของฝ่ายไทยนั้น เป็นไปตามการเผชิญเหตุที่เกิดขึ้นเฉพาะพื้นที่นั้น ๆ ต่อเป้าหมายที่มีเจตนาที่จะคุกคามหรือกระทำต่อฝ่ายไทย” พลตรีวินธัย กล่าว พลตรีวินธัย กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบข้อมูลการข่าว พบว่า ทหารกัมพูชามีการ เตรียมความพร้อมของกำลังพล และอาวุธยิงสนับสนุนเพิ่มเติม เข้ามาในพื้นที่เพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มว่ากัมพูชามีการระบุพิกัดการใช้อาวุธระยะไกลมาในพื้นที่ตอนใน ครอบคลุมพื้นที่ใกล้สนามบินบุรีรัมย์ รวมถึงบริเวณพื้นที่ใกล้โรงพยาบาลใน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ซึ่งห่างจากชายแดน 30 กิโลเมตร
พลตรีวินธัย ระบุว่า ท่าทีกัมพูชาที่ผ่านมา มักจะมีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงตลอด โดยเฉพาะการละเมิดการใช้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน หรือที่ฝ่ายไทยจะต้องใช้หรือปฏิบัติงาน และจากภารกิจในการเคลียร์เก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ และการปรับปรุงเส้นทาง ของฝ่ายไทย มักถูกขัดขวาง ไม่ได้รับความร่วมมืออย่างจริงจัง ทั้งนี้เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าทางการกัมพูชา อาจต้องการให้กำลังพลทหารฝ่ายไทยได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิด
กองทัพภาคที่ 2 คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน มีการเร่งอพยพ ซึ่งการดำเนินการเป็นการปฏิบัติในพื้นที่ส่วนหลัง ซึ่งได้มีการประสานฝ่ายปกครอง ท้องถิ่น หน่วยงานที่เกี่ยวต้อง และการอพยพถือว่ามีความสมบูรณ์แล้ว
สำหรับเหตุการณ์ในวันนี้ช่วงกลางดึก และเช้ามืดที่ผ่านมา มีการยิง และเกิดการปะทะในพื้นที่หลายจุด และมีการปะทะหนักขึ้น ตั้งแต่ช่วง 05:00 น. ทางฝ่ายกัมพูชา มีการใช้ปืนเล็ก ปืนใหญ่ อาวุธยิงสนับสนุนเข้ามา จนเป็นเหตุให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต ในพื้นที่ช่องบก และยังพบหลักฐานว่า ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดพื้นที่การปะทะเพิ่มเติมอีกหลายพื้นที่ในช่วงเช้ามืด ได้แก่ พื้นที่ช่องอานม้า ห้วยตามาเรีย ปราสาทคนา ประสาทตาควายและปราสาทตาเมือน ซึ่งฝ่ายไทยได้ดำเนินการตอบโต้ตามแผนเผชิญเหตุ เน้นเป้าหมายทางทหารเป็นหลัก ที่โจมตี หรือกระทำต่อฝ่ายไทย เช่น ฐานทหาร และที่ตั้งยิง อาวุธยิงสนับสนุนต่าง ๆ พร้อมทั้งมีการประสานพร้อมรับการสนับสนุนการใช้อากาศยานของกองทัพอากาศ ในการปล่อยอาวุธ เพื่อยับยั้งการโจมตีของทหารกัมพูชา ซึ่งถือเป็นความจำเป็นในการป้องกันตนเอง หลังพบว่า ทางฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธยิงสนับสนุนต่อฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง
สำหรับกรณีการใช้อาวุธสนับสนุนจากกองทัพอากาศ ขอเน้นย้ำว่า การใช้กำลังทางอากาศของฝ่ายไทยนั้น เป็นการปฎิบัติต่อเป้าหมายทางทหารของกัมพูชาเท่านั้น ซึ่งสามารถจำกัดวงขอบเขตความเสียหายได้ เพื่อยับยั้งการโจมตีอาวุธยิงสนับสนุนของกัมพูชา ที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บ และเสียชีวิตแก่กำลังพลของฝ่ายไทย สำหรับการโจมตีการปล่อยอาวุธจากอากาศยาน เป็นการโจมตีที่ค่อนข้างมีความแม่นยำสูง มุ่งหมายเฉพาะเป้าหมายทางทหารบริเวณแนวปะทะ ไม่กระทบต่อพลเรือน ที่สำคัญที่สุดฝ่ายไทยจำเป็นจะต้องเร่งสกัดอาวุธยิงสนับสนุนของฝ่ายกัมพูชา ที่กำลังคุกคามทั้งกำลังพลทหาร หรือพี่น้องประชาชน เพราะในการปะทะครั้งที่ผ่านมา อาวุธดังกล่าวของกัมพูชานั้น เคยยิงเข้าไปใส่ในพื้นที่เป้าหมายฝ่ายพลเรือนของไทยทำให้เกิดความเสียหาย และเสียชีวิตไปแล้วจำนวนมาก จากเหตุการณ์เมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา ส่วนอาคารคาสิโนที่ถูกโจมตีนั้น พลตรีวินธัย กล่าวว่า จุดนั้นเป็นที่บังคับการ และเป็นศูนย์บังคับบัญชาบังคับโดรน อากาศยานไร้คนขับ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับอากาศยานไร้คนขับ
สำหรับจำนวนผู้เสียชีวิต เบื้องต้นขอยืนยันไว้เพียง 1 ราย แต่ข้อมูลที่ไม่เป็นทางการ แต่ข้อมูลที่ไม่เป็นทางการเหมือนมีอีก 1 ราย ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้รับข้อมูลอย่างเป็นทางการมา แต่หากมีข้อมูลเพิ่มเติมจะขอสื่อสารให้ทรางต่อไป ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บขณะนี้มี 7 - 8 ราย ส่วนการอพยพผู้ป่วยที่โรงพยาบาลนั้น ตนเองยังไม่ได้ติดตามการปฏิบัติในพื้นที่ส่วนหลัง
ส่วนจะขยายแนวปะทะไปยังกองทัพภาคที่ 1 หรือไม่ พลตรีวินธัย กล่าวว่า ขณะนี้เป็นการตอบโต้การเผชิญเหตุตามสถานการณ์ เป็นไปตามที่รายงานเท่านั้น เมื่อถามว่า ผู้บัญชาการทหารบก ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ พลตรีวินธัย กล่าวว่า พื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ก็ไม่น่าจะอยู่ในขั้นที่ไว้วางใจได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ผู้บัญชาการทหารบก ให้หน่วยนั้นมีการถือความพร้อม ถึงแม้จะไม่มีการใช้อาวุธ หรือสื่อสารให้รับทราบ แต่มีการเตรียมการทางยุทธวิธีที่จะตอบโต้ สิ่งที่กัมพูชาทำ โดยเฉพาะการใช้อาวุธ และเป็นห่วงเรื่องการบาดเจ็บเสียชีวิตต่อกำลังพลฝ่ายไทย และการส่งผลกระทบการบาดเจ็บและสูญเสียของประชาชน จึงให้ความสำคัญว่าเป้าหมายที่ต้องทำลายคือที่ตั้งอาวุธยิงสนับสนุนของฝ่ายกัมพูชา เพราะไม่เพียงแต่กระทบต่อกำลังพลเท่านั้นแต่มีโอกาสสูงที่จะกระทบต่อพี่น้องประชาชนของไทยด้วย พลตรีวินธัย กล่าวถึงการปกป้องสนามบิน ว่า มีเตรียมการไว้ ส่วนระบบต่อต้านการสกัดอากาศยานไร้คนขับนั้น ก็ถือว่ามีประสิทธิภาพโดยเฉพาะสถานที่สำคัญ แต่ทางการทหารมีการเตรียมการอยู่ในระบบปกติของราชการอยู่แล้ว
เมื่อถามว่าสถานการณ์ขณะนี้ จะกลับไปเป็นเหมือน การปะทะกันในช่วงวันที่ 24 - 28 ก.ค. ที่ผ่านมาแล้วหรือไม่ พลตรีวินธัย กล่าวว่า ตอบยาก แต่ยืนยันว่าใช้กำลังของฝ่ายไทยยังเป็นไปตามการเผชิญเหตุ ยังอยู่ในกรอบกติกาสากล การตอบโต้ ก็เป็นไปตามเหตุตามผลอยู่ในระดับที่เหมาะสม
พลตรีวินธัย กล่าวถึงการประเมินการอพยพเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ในพื้นที่ส่วนหลัง ยังไม่ต้องอพยพ เพราะแผนหน่วยทหารกับฝ่ายปกครอง ได้ทำมาอย่างสมบูรณ์แล้วในก่อนหน้านี้ ดังนั้น จะเห็นว่าช่วงเวลาช่วงเย็นของเมื่อวานนี้ สามารถอพยพได้เป็นไปตามเป้าหมายและภายในเวลาที่ตั้งเป้าหมายไว้ ข้อกังวลเรื่องการอพยพจะน้อยกว่าครั้งที่แล้ว เมื่อถามถึงการรับมือกับจรวด BM-21 ที่คุมทิศทางไม่ได้ จะทำอย่างไร พลตรีวินธัย กล่าวว่า ในเชิงรุกต้องทำลายที่ตั้งยิงเหล่านั้นให้ได้มากที่สุด ส่วนมาตรการเชิงรับ เราใช้การอพยพ พยายามทำให้ ผลกระทบจากการใช้อาวุธนั้น ไม่เกิดผลกระทบ และความสูญเสียแก่พี่น้องประชาชน ส่วนระเบิด BM - 21 ที่ตกลงมาฝั่ง 1 ลูกนั้น เบื้องต้นได้รับรายงานว่าไม่มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและสูญเสีย และลงไปในพื้นที่ทางการเกษตร แต่ต้องติดตามเป็นระยะ ๆ เพราะไม่ทราบว่าล่าสุดมีการใช้อาวุธจรวดในกี่พื้นที่
พลตรีวินธัย กล่าวถึงการดูแลพื้นที่สนามบิน ว่า ตามหลักการใช้อาวุธ จะต้องจำกัดขอบเขตในพื้นที่ชายแดน คือถ้าออกมาจากนอกเขตพื้นที่ชายแดน สังคมโลกน่าจะยอมรับไม่ได้ และเคยมีเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้มาแล้ว เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ในพื้นที่สนามบิน ค่อนข้างมีความห่างไกลจากพื้นที่การรบ แต่มาตรการทางทหารก็ไม่ได้ประมาทเรามีมาตรการที่จะดูแลและป้องกันอยู่แล้ว