นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้ออกมาเล่าเคสอุทาหรณ์ผ่านเพจ หมอเจด เกี่ยวกับสาวออฟฟิศวัย 37 ปี ที่ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ รักสุขภาพ แต่สุดท้ายกลับตรวจเจอมะเร็ง
โดยระบุว่า เป็นเคสของคนไข้หญิงรายหนึ่งที่ท้องผูกมาหลายวัน ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเพราะช่วงนี้เครียด ทำงานหนัก แต่พอผ่านไปหลายวัน อาการกลับไม่ดีขึ้น เริ่มรู้สึกแน่นท้อง กินอะไรก็ท้องอืดง่าย จนตัดสินใจมาหาหมอและผลตรวจกลับกลายเป็นเจอมะเร็งลำไส้ในระยะต้น
คนไข้ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบเสี่ยงเลย ออกกำลังกายเกือบทุกวัน กินอาหารคลีน ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่ และนอนค่อนข้างเป็นเวลา แต่ลองถามรายละเอียดดู สาเหตุเกิดจากพฤติกรรมเล็ก ๆ ที่ทำเป็นประจำโดยไม่รู้ตัว
1. ดื่มน้ำน้อยมาก
ดื่มน้ำไม่ถึงวันละ 1 ลิตร เพราะแค่กลัวเข้าห้องน้ำบ่อย แต่รู้ไหมครับว่า น้ำคือตัวช่วยการขับถ่าย
เมื่อร่างกายขาดน้ำ อุจจาระจะจับตัวแน่น แข็ง และเคลื่อนผ่านลำไส้ยากขึ้น ยิ่งเกิดการสะสมของของเสียและสารก่อมะเร็งในลำไส้
2. ชอบกินขนมอบกับกาแฟ
แม้จะกินอาหารหลักดี แต่ช่วงบ่าย ๆ ชอบ เบเกอรี่ + กาแฟเย็น ซึ่งเต็มไปด้วยพวก น้ำตาล ไขมันทรานส์ และคาเฟอีนสูง ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารรวน ลำไส้อืด และลดการบีบตัวของลำไส้
3. ขาดไฟเบอร์จากธรรมชาติ
กินอาหารคลีนจริง แต่กลับกินเนื้อสัตว์เยอะ–ผักน้อย บางมื้อไม่มีผักหรือผลไม้เลย ซึ่งไฟเบอร์จะช่วยให้ของเสียเคลื่อนผ่านลำไส้ได้ดี และลดการสัมผัสของสารพิษกับผนังลำไส้ เมื่อไม่มีไฟเบอร์ ลำไส้ก็เหมือนถนนตัน ของเสียสะสมและเกิดการอักเสบเรื้อรังที่ตามมา
4. กลั้นอุจจาระเป็นนิสัย
เพราะทำงานหน้าคอมตลอด เลยมักจะกลั้นไว้ก่อน เดี๋ยวทำงานเสร็จก่อน ค่อยเข้าห้องน้ำ แต่ทุกครั้งที่กลั้น คือการฝึกให้ลำไส้ทำงานช้าลง จนในที่สุดกลายเป็นภาวะ ลำไส้ขี้เกียจ และเกิดอาการท้องผูกเรื้อรัง คนไข้ได้เข้ารับการรักษาทันเวลาและตอนนี้อยู่ในช่วงฟื้นฟูตัวเอง
จากเคสนี้บอกได้เลยว่าอย่ารอให้ร่างกายส่งสัญญาณเตือนแล้วค่อยสนใจ อาการท้องผูกที่เราคิดว่าเรื่องเล็ก อาจเป็นสัญญาณแรกของความผิดปกติในลำไส้ ถ้ามีอาการบ่อย ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้ชัดฝากด้วยครับ ใครมีคำถามคอมเมนต์ไว้ได้เลยนะครับ
ภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก : หมอเจด
เรียบเรียงโดย สยามนิวส์