วันที่ 5 ตุลาคม 2568 นางยุพิน (สงวนนามสกุล) ตัวแทนสมาคมพุทธวจนในยุโรป ออกมาเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ พฤติกรรมของบุคคลรายหนึ่ง ซึ่งเคยมีบทบาทในโครงการเผยแผ่พระธรรมคำสอนในต่างประเทศ โดยบุคคลดังกล่าวอ้างว่าเป็นผู้ประสานงานใกล้ชิดกับ พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง เหตุการณ์นี้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง หลัง นายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม พร้อมคณะ เข้าพบพนักงานสอบสวนกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมในคดีร้องเรียนเกี่ยวกับการบริหารจัดการเงินของพระอาจารย์ภายหลังกลับจากต่างประเทศ
ต้นเรื่องย้อนไปเมื่อปี 2559 บุคคลที่ถูกกล่าวถึงได้ติดต่อมายังสมาคมพุทธวจนในยุโรป โดยอ้างว่าได้รับมอบหมายจากพระอาจารย์คึกฤทธิ์ให้เป็นผู้ประสานงานในโครงการ น้อมนำพระธรรมคำสอนตามหลักพุทธวจน สู่ภาคพื้นยุโรป โครงการดังกล่าวได้รับความสนใจจากหลายสมาคมในยุโรปที่ต้องการร่วมเผยแผ่พระธรรมในประเทศของตนเอง แต่เมื่อเริ่มดำเนินการกลับปรากฏเงื่อนไขที่สร้างความกังขา เพราะแต่ละสมาคมต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นค่าตั๋วเครื่องบิน ที่พัก อาหาร หรือสถานที่จัดกิจกรรม ทั้งที่บุคคลดังกล่าวแสดงต่อสาธารณะว่าเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด
เมื่อกิจกรรมสิ้นสุดลง จะมีการเปิดรับบริจาคจากผู้เข้าร่วมงาน โดยเงินทั้งหมดถูกนำกลับไปโดยผู้ประสานงาน พร้อมทั้งขอให้ผู้จัดงานลงนามในหนังสือปวารณายืนยันต่อพระสงฆ์ก่อนส่งมอบเงิน ข้อมูลเหล่านี้ทำให้เกิดความสงสัยในหมู่ผู้จัดงานและผู้ศรัทธาหลายราย ว่าอาจมีการใช้ชื่อพระอาจารย์เป็นเครื่องมือเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว
ในเวลาต่อมา มีรายงานว่า ผู้ศรัทธาบางคนที่ตั้งใจบริจาคเงินเพื่อสร้างวัดในยุโรป ต้องถอนเจตนา เนื่องจากถูกกดดันให้ดำเนินการผ่านช่องทางเฉพาะที่บุคคลดังกล่าวกำหนดไว้ นอกจากนี้ เรื่องราวยังลุกลามไปสู่ภาคธุรกิจเอกชน เมื่อ นายนิวัติ (สงวนนามสกุล) อดีตผู้บริหารบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เปิดเผยว่า เจ้านายของตนซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบุคคลรายนี้ เคยถูกชักชวนให้ร่วมลงทุนในช่วงที่ประสบปัญหาทางการเงิน ต่อมาได้มอบหมายให้บุคคลดังกล่าวดูแลกิจการแทน กระทั่งเจ้านายเสียชีวิตในปี 2565
หลังการเสียชีวิต ปรากฏว่าเงินที่ได้จากการขายที่ดินมูลค่า 10 ล้านบาท รวมถึงเงินกู้ส่วนตัวอีกกว่า 50 ล้านบาทสูญหายไปทั้งหมด ส่งผลให้บริษัทต้องประสบภาวะล้มละลาย และเจ้าหน้าที่บางคนกลายเป็นบุคคลล้มละลายตามไปด้วย เหตุการณ์นี้ยิ่งทำให้ข้อสงสัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุคคลรายดังกล่าวทวีความชัดเจนมากขึ้น
ปัจจุบัน เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างกว้างขวางในแวดวงศาสนาและสังคมออนไลน์ เพราะสะท้อนถึงปัญหาความโปร่งใสในการบริหารเงินบริจาค และการนำชื่อพระอาจารย์หรือสำนักธรรมมาใช้ดำเนินโครงการในต่างประเทศโดยไม่มีการตรวจสอบที่ชัดเจน ผู้ศรัทธาหลายรายมองว่า ถึงแม้ยังไม่มีข้อสรุปทางกฎหมาย แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเป็นธรรมและเปิดเผย เพื่อป้องกันไม่ให้ศรัทธากลายเป็นเครื่องมือของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อวงการพุทธศาสนาไทยในต่างแดนให้กลับคืนมาอีกครั้ง