เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 24 สิงหาคม 2568 ที่วัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี มีการแถลงชี้เเจงโดยนายศุภชัย สิงวานิช ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากวัดและหลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาส ร่วมกับนายเฉลิมพล พลมุข ประธานมูลนิธิธรรมรักษ์ พ.อ.ประชุม สุขสำราญ ผู้ดูแลศาสนสถาน และนางกอแก้ว เพชรบุตร ผู้อำนวยการโรงเรียนนาถะศาสตร์ เพื่อชี้แจงกรณีที่เกี่ยวข้องกับมูลนิธิและข้อสงสัยต่าง ๆ ของสังคม
โดยประเด็นสำคัญอยู่ที่ชื่อ - นามสกุล และเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ของหลวงพ่ออลงกต ซึ่งไปตรงกับนายอลงกต พลมุข ข้าราชการที่เสียชีวิตแล้ว โดยนายศุภชัยยืนยันว่าหลวงพ่ออลงกตมีบัตรประชาชนจริง ชื่อ อลงกต พูลมุข และเลขประชาชนไม่ซ้ำกับผู้เสียชีวิต ส่วนกรณีที่ในใบสุทธิมีข้อมูลตรงกัน อาจเกิดความสับสน แต่ยืนยันว่าเป็นคนละบุคคล
เมื่อถูกถามถึงสาเหตุที่บัญชีมูลนิธิอาทรประชานาถไปผูกกับเลขบัตรประชาชนของผู้เสียชีวิต ทนายความระบุว่ายังไม่ได้ตรวจสอบลึก ต้องให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานราชการ และเป็นเรื่องที่เพิ่งทราบ จึงขอเวลาเพื่อตรวจสอบเพิ่มเติม โดยชี้ว่าเดิมมูลนิธิฯ มีผู้ดูแลซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ทำให้ต้องเข้าไปตรวจสอบเอกสารย้อนหลังทั้งหมด
ขณะที่ประเด็นการเปลี่ยนชื่อจาก เกรียงไกร เพ็ชร์แก้ว มาเป็น อลงกต พลมุข นายศุภชัยยอมรับว่ายังไม่ได้สอบถามรายละเอียดจากพระอาจารย์โดยตรง และจะนำคำถามไปหารือเพื่อให้คำตอบอีกครั้งในภายหลัง ส่วนคำถามเรื่องเงินในบัญชีของมูลนิธิที่ผูกกับบัตรประชาชนผู้เสียชีวิต ปัจจุบันยังไม่ทราบว่าใครถือครอง ต้องรอตรวจสอบเพิ่มเติม
นายเฉลิมพล ซึ่งเป็นญาติของนายอลงกต พลมุข ผู้เสียชีวิต ยอมรับว่าตนเองอยู่ในงานฌาปณกิจจริง และทราบว่าเลขบัตรประชาชนของหลวงพ่ออลงกตไม่ตรงกับของญาติผู้เสียชีวิต แต่เรื่องใดจริงหรือปลอมยังตอบไม่ได้ ต้องรอการตรวจสอบ ขณะเดียวกันยอมรับว่าไม่เคยสอบถามโดยตรงกับหลวงพ่ออลงกตว่าเป็นใครมาจากไหน หรือใช้บัตรประชาชนหมายเลขใด
ด้าน พ.อ.ประชุม อธิบายถึงการออกใบสุทธิของพระในอดีตว่า แต่เดิมพระภิกษุไม่จำเป็นต้องมีบัตรประชาชน ใช้เพียงใบสุทธิที่ออกโดยอุปัชฌาย์ ซึ่งสามารถใช้ได้ตลอดชีวิต หากลาสิกขาจะมีการบันทึกกำกับไว้ เมื่อกฎเกณฑ์เปลี่ยนให้พระต้องมีบัตรประชาชนและเลข 13 หลัก จึงไม่แน่ชัดว่าหลวงพ่ออลงกตเปลี่ยนแปลงจากใบสุทธิไปใช้บัตรประชาชนในช่วงใด
สำหรับข้อสงสัยเรื่องชื่อเดิม เกรียงไกร เพ็ชร์แก้ว และการเปลี่ยนชื่อมาเป็น อลงกต พลมุข พ.อ.ประชุมระบุว่าไม่ทราบรายละเอียดเช่นกัน
ทั้งนี้ ทนายศุภชัยกล่าวปิดท้ายว่า ทุกข้อสงสัยวัดและหลวงพ่ออลงกตพร้อมให้ตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรม ยืนยันว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้รับจากการบริจาคถูกนำไปใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หากมีความบกพร่องก็พร้อมยอมรับและเร่งแก้ไขตามกฎหมาย พร้อมขออภัยประชาชนที่อาจเกิดความสับสนจากปัญหาที่เกิดขึ้น