แก๊งโจ๋โหดกาญจน์  ทำร้าย-ถ่ายคลิป 2 หญิงสาววัยรุ่น คาดชนวนเหตุหึงหวง รักสามเศร้า
ข่าวภูมิภาค

แก๊งโจ๋โหดกาญจน์ ทำร้าย-ถ่ายคลิป 2 หญิงสาววัยรุ่น คาดชนวนเหตุหึงหวง รักสามเศร้า

ความคืบหน้ากรณี นายรพี ชำนาญเรือ นักเคลื่อนไหวช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยสังคม จนได้รับฉายาว่า มือปราบไซยาไนด์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จังหวัดกาญจนบุรี ร่วมนำพาตัวเด็กหญิง เอ อายุ 13 ปี และเด็กหญิง บี (นามสมมุติ) อายุ 14 ปี เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.เมืองกาญจนบุรี เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อกลุ่มวัยรุ่นหญิงที่รุมทำร้ายร่างกายทั้งตบและเตะเข้าตามใบหน้าแล้วถ่ายคลิปเหตุการณ์ไว้เพื่อความสะใจ

หัวโจกสำคัญที่ลงมือก่อเหตุทราบทราบชื่อเล่นคือนางสาวนาว อายุเพียง 15 ปี มีสมุนร่วมก่อนเหตุอายุ 18 และ 24 ปี ตามลำดับ นอกจากนี้เด็กหญิง เอ อายุ 13 ปี ยังแจ้งความดำเนินคดีต่อนายยิม อายุ 36 ปี ที่นางสาวเอ อ้างว่าถูกกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ไปหลายครั้ง แต่เนื่องจาก นางสาวเอ เป็นเด็กและเยาวชนจึงนำตัวไปให้เจ้าหน้าที่สหวิชาชีพสอบปากคำที่สำนักงานอัยการจังหวัดกาญจนบุรี ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วเมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดวันนี้ 26 ก.ย.68 นางจันทร์จิรา พัฒนศิริ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)จังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา พม.กาญจนบุรีได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สอบข้อเท็จจริงจากผู้เสียหายที่ถูกทำร้ายร่างกาย ภายในห้องเช่า ตามคลิปที่ปรากฏ เบื้องต้นผู้ที่ถูกระทำมีอายุ 17 ปี ไม่ใช่ 14 ปีแต่อย่างใด 

โดยนางสาวบี อายุ 17 ปี ผู้เสียหาย อาศัยอยู่กับน้าสาวและพี่สาว ที่บ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่งแล้ว ซึ่งพ่อกับแม่ของนางสาวพลอยได้แยกทางกันอยู่ ส่วนแม่อาศัยอยู่ที่อำเภอทองผาภูมิ นางสาวพลอยให้ข้อมูลว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2568 ก่อเกิดเหตุนั้นนางสาวพลอย ได้ไปเที่ยวเล่นที่ห้องเช่าของเพื่อนรุ่นพี่เป็นชาย 

จากนั้นนางสาว ม. หัวโจก อายุ 15 ปี กับพวกเป็นหญิงอีกสองคนได้มาที่ห้องเช่า และได้เข้ามาทำร้ายร่างกาย โดยใช้มือตบ และเท้ากระทืบที่ใบหน้า หลังจากที่นางสาวพลอย ถูกทำร้ายจึงให้เพื่อนมารับไปอาศัยอยู่ด้วย แต่มาภายหลังนางสาวพลอย อายุ 17 ปี ผู้เสียหาย ได้กลับมาที่ห้องเช่าดังกล่าวอีกครั้งในวันเดียวกัน เวลาประมาณ 21.00 น. โดยที่นางสาวมะยม อายุ 15 ปี ยังอาศัยอยู่ในห้องเช่า เมื่อนางสาวมะยมเห็นนางสาวพลอยกลับมาที่ห้องเช่าจึงได้ลงมือทำร้ายร่างกาย 

นางสาวบีเล่าอีกว่า การทำร้ายครั้งนี้ นางสาว ม. อายุ 15 ปี ได้ใช้อาวุธปืนตบเข้าที่บริเวณหูข้างซ้ายของตน จากนั้นใช้มือกระชากหัวและใช้เท้ากระทืบบริเวณใบหน้า โดยมีการนำโทรศัพท์มือถือถ่ายคลิปวิดีโอเอาไว้ด้วย ส่วนแรงจูงใจที่ทำให้นางสาวมะยมทำร้ายตน คงเป็นเพราะว่าตนเคยคุยกับอดีตแฟนเก่าของนางสาวมะยม จึงเกิดความหึงหวงขึ้นมาแล้วลงมือก่อเหตุทำร้ายร่างกายของตน

หลังจากเจ้าหน้าที่ พม.กาญจนบุรี ได้จดทำบันทึกเรื่องราวแล้วเสร็จ จึงให้ความช่วยเหลือด้วยการนำพานางสาวพลอย เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.เมืองกาญจนบุรี เพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อนางสาวมะยม อายุ 15 ปี พร้อมพวก หลังจากนั้นได้นำพาไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา และตรวจสุขภาพจิต เนื่องจากนางสาวพลอย มีความกังวลและหวาดระแวง และมีร่องรอยบาดแผลจากการใช้คัตเตอร์กรีดที่บริเวณข้อมือข้างซ้ายอีกด้วย

โดยเจ้าหน้าที่ พม.กาญจนบุรี ได้ให้คำแนะนำว่า หากนางสาวพลอยมีความกังวลถึงความปลอดภัย ทางกระทรวงฯ มีบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัด ที่สามารถใช้พักอาศัยชั่วคราวได้ แต่ปรากฏว่านางสาวพลอย ปฏิเสธ พร้อมกับแจ้งว่าจะกลับไปพักอาศัยอยู่ที่บ้าน เพราะเชื่อว่านางสาวมะยม คงตามไปทำร้ายตนไม่ได้ เพราะนางสาวมะยม ไม่ทราบที่อยู่ของตน นางจันทร์จิรา พัฒนศิริ พม.กาญจนบุรี กล่าวว่า ส่วนกรณีเคสของเด็กหญิง เอ นามสมมุติ อายุ 13 ปี จากการสอบถามทราบว่าปัจจุบันอาศัยอยู่กับครอบครัวที่บ้านเช่าแห่งหนึ่ง รวม 6 คน ส่วนแม่อายุ 33 ปี โดยเด็กหญิง เอ เรียนหนังสือระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง

สำหรับเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 ก่อนเกิดเหตุมีเพื่อนเป็นผู้ชาย มาชักชวนเด็กหญิง เอ โดยบอกว่าจะพาไปงานวันเกิดของเพื่อน เด็กหญิงเอ จึงไปด้วย แต่กลับถูกเพื่อนรุ่นพี่พาไปพบกับกลุ่มของ น.ส.นาว (นามสมมุติ) อายุ 15 ปี น.ส.มุก (นามสมมุติ) อายุ 24 ปี (ตั้งครรภ์ 2 เดือน) น.ส.นก (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี น.ส.ฝน (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี นายยิม (นามสมมุติ) อายุ 36 ปี ที่รออยู่บริเวณสวนสาธารณะถนนท่าน้ำ(สกายวอล์ค) โดยมีวัยรุ่นเป็นชายอีก 2-3 คน อยู่ด้วย จากนั้นก็ถูกทำร้ายตามที่ปรากฎตามคลิปที่กลุ่มผู้ก่อเหตุถ่ายเอาไว้

และจากการสอบข้อเท็จจริงถึงสาเหตุของเรื่องราวดังกล่าวนั้น เกิดจากการที่นายยิม อายุ 36 ปี อดีตแฟนของ เด็กหญิง เอ ผู้เสียหาย ได้ไปบอกกับ น.ส.นก อายุ 17 ปี แฟนใหม่ของตนฟังว่า เด็กหญิงเอ ได้มีการพูดจาว่าร้ายและดูหมิ่น น.ส.นก แฟนใหม่ จึงทำให้ น.ส.นก เกิดความโมโห จากนั้น น.ส.นก จึงแก้แค้นด้วยการ ให้เพื่อนชายที่รู้จักกับเด็กหญิง เอ ไปหลอกว่าจะชวนไปงานวันเกิดเพื่อน โดยให้ น.ส.นาว น.ส.ฝน น.ส.มุก ที่กำลังตั้งครรภ์ได้ 2 เดือน ไปรอที่สวนสาธารณะ ถนนริมน้ำหน้าเมืองกาญจนบุรี เมื่อ เด็กหญิง เอ มาถึง จึงถูกทำร้ายร่างกายดังกล่าว จากนั้นมีพลเมืองดีช่วยนำตัวเด็กหญิงเอ ส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา

หลังจากที่แม่ของเด็กหญิงเอทราบว่าลูกสาวถูกกลุ่มวัยรุ่นทำร้าย จึงได้นำพาลูกสาว เข้าพบพนักงานสอบสวนสภ.เมืองกาญจนบุรี เพื่อแจ้งความดำเนินคดีเอาไว้ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา แต่แม่ของเด็กหญิงเอ ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริงของกลุ่มผู้ก่อเหตุ จึงลงบันทึกประจำวันเอาไว้เป็นหลักฐาน จนกระทั่งวันที่ 23 ก.ย.68 จึงสืบทราบว่า ผู้ลงมือก่อเหตุนั้นมีใครบ้าน พนักงานสอบสวน สภ.เมืองกาญจนบุรี จึงรับแจ้งความเอาไว้ ในคืนเดียวกันเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.เมืองกาญจนบุรี ได้เชิญตัวผู้ก่อเหตุเป็นหญิง 3 รายมาสอบสวนเพิ่มเติม ก่อนที่จะให้ไปพบพนักงานสอบสวน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา  ขณะนี้คดีความอยู่ระหว่างรอเรียกตัวมาสอบข้อเท็จจริง ซึ่งจะต้องทำการสอบปากคำต่อหน้าเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพ ที่สำนักงานอัยการจังหวัดกาญจนบุรี อีกครั้งหนึ่ง

สำหรับแนวทางการให้ความช่วยเหลือ เนื่องจากหลังเกิดเหตุแม่ของเด็กหญิง เอ อายุ 13 ปีที่ถูกทำร้ายนั้น ได้นำคลิปเหตุการณ์ไปโพสต์ลงในโลกโซเชียลทางเฟสบุ๊ก และมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นในทำนองว่า นายยิม นั้นมีพรรคพวกหลายคน ไม่กลัวกลัวถูกทำร้ายใช่ไหม เนื่องจากยิมและนกไม่ได้ถูกจับกุม

จากข้อความดังกล่าวทางเจ้าหน้าที่ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน(ศรส.)พม.กาญจนบุรี เกรงว่าแม่ของเด็กจะเกิดความกังวลใจและกลัวว่าจะไม่ปลอดภัย จึงให้แนะนำให้ไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดกาญจนบุรีเป็นการชั่วคราว แต่แม่ของเด็กปฏิเสธ และขอย้ายออกจากห้องเช่าแล้วกลับไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านของตนเองจะดีกว่า ส่วนเรื่องของคดีหากผู้เสียหายคิดว่ามีความล่าช้า ให้ประสานมายังเจ้าหน้าที่ พม.กาญจนบุรีเพื่อช่วยเร่งรัดคดีให้ต่อไป

เบื้องต้นตนทราบข้อเท็จจริงการสอบปากคำผู้เสียหายทั้ง 2 รายแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ภาพพจน์ของจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก หวังว่าหน่วยงานภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด จะเร่งดำเนินการหาทางป้องกันเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคตให้ได้โดยเร็ว เพราะหากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก จะส่งผลเสียหายมากไปกว่านี้อย่างแน่นอน และที่สำคัญที่สุดคือผู้ปกครองของเด็กๆ จะต้องหมั่นเอาใจใส่ลูกหลานของตัวเองให้มากกว่านี้ หากท่านมัวแต่ตามใจ หรือไม่กล้าที่จะตักเตือนบุตรหลาน หากเกิดเหตุร้ายขึ้น ท่านจะกลายเป็นผู้ทำร้ายบุตรหลานของท่านเอง และจะมาบอกกับสังคมในภายหลังว่าลูกฉันเป็นคนดี มันคงไม่ถูกต้อง  

ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ ทีมข่าวจังหวัด กาญจนบุรี รายงาน