เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ที่พรรคประชาธิปัตย์ น.ส.นารากร ติยายน ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง เปิดเผยถึงการตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 1 จังหวัดเชียงใหม่ ว่า การตัดสินใจเกิดขึ้นภายหลังการยุบสภา แม้จะมีความคิดอยากเข้าสู่สนามการเมืองมานานนับปี จากประสบการณ์ที่เคยสมัครสมาชิกวุฒิสภาแต่ไม่ผ่านการคัดเลือก อีกทั้งได้เห็นปัญหาทางการเมืองหลายประเด็น
ทั้งกรณีการฮั้ว ส.ว. การทุจริต และปัญหาสแกมเมอร์ ซึ่งตนเองเคยตกเป็นผู้เสียหาย จึงมองว่าเป็นโอกาสในการเข้ามาผลักดันการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันอย่างจริงจัง ประกอบกับแนวคิดการเมืองสุจริตของพรรคประชาธิปัตย์ ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคฯ เคยนำเสนอ สอดคล้องกับจุดยืนส่วนตัวที่เชื่อว่าหากไม่เริ่มต้นจากการเมืองที่สุจริต ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหรือระบบของประเทศได้ จึงตัดสินใจร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์
น.ส.นารากร ระบุว่า ยอมรับว่าเป็นพื้นที่ที่มีการแข่งขันดุเดือด ผู้ที่ชนะการเลือกตั้งที่ผ่านมาได้คะแนนสูงและเป็นบุคคลที่มีความสามารถ อย่างไรก็ตาม ตนเลือกมองที่จุดยืนและเป้าหมายของตัวเองมากกว่ามองคู่แข่ง เพราะเมื่อเข้าสู่การเมืองแล้ว ต้องชัดเจนว่าต้องการพัฒนาพื้นที่อย่างไร จังหวัดเชียงใหม่เป็นบ้านเกิดและเป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้เป็นตัวตนในวันนี้ จึงตั้งใจลงสมัครในเขต 1 ด้วยความผูกพันและความตั้งใจจริง
กล่าวต่อว่า เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจน จึงพิจารณาว่าพรรคการเมืองใดสามารถทำให้จุดยืนดังกล่าวเกิดขึ้นได้ และเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ตอบโจทย์มากที่สุด ส่วนเรื่องความน่ากลัวของคู่แข่งยอมรับว่ามี แต่มองว่าเป็นโอกาสของคนการเมืองหน้าใหม่ แม้จะไม่ใช่คนหน้าใหม่ในวงการสื่อมวลชนไทย พร้อมขอให้ประชาชนเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความตั้งใจและเป้าหมายชัดเจนเข้ามาทำงานทางการเมือง
สำหรับเสียงตอบรับจากประชาชน น.ส.นารากร ยอมรับว่ายังไม่ได้ลงพื้นที่พบประชาชนอย่างจริงจัง นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ลงพื้นที่ช่วงสมัคร ส.ว. โดยหลังจากกระบวนการสมัคร ส.ส.แล้วเสร็จ จะเริ่มลงพื้นที่พูดคุยกับชาวเชียงใหม่เพื่อรับฟังความต้องการและข้อเสนอแนะ ทั้งนี้ย้ำว่าจะไม่ให้คำมั่นสัญญาเกินความเป็นจริง เพราะการทำงานทางการเมืองต้องอาศัยหลายปัจจัย และประเทศไทยเป็นรัฐราชการที่ต้องทำงานร่วมกับข้าราชการ แต่ยืนยันว่าจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่และไม่เปลี่ยนจุดยืนที่ยึดถือมาตลอดกว่า 30 ปี
ความมั่นใจในการปักธงชัยในเขต 1 น.ส.นารากร ระบุว่า มีความมั่นใจ เนื่องจากประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเห็นว่านักการเมืองบางส่วนเมื่อเข้าสู่อำนาจกลับแบ่งปันผลประโยชน์กันในกลุ่ม ขณะที่ประชาชนมีอำนาจเพียงวันเลือกตั้งวันเดียว จึงเชื่อว่าประชาชนควรมีอำนาจในการตรวจสอบมากขึ้น และตนพร้อมจะเป็นกระบอกเสียงในการตรวจสอบและสะท้อนปัญหาแทนประชาชนเอง