หอการค้าสหรัฐฯ ออกมาพูดแล้ว ถึงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา
ข่าวการเมือง

หอการค้าสหรัฐฯ ออกมาพูดแล้ว ถึงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา

วันที่ 22 ธันวาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศ Khmer Times รายงานว่า เคซีย์ บาร์เน็ตต์ ประธานหอการค้าสหรัฐฯ ในกัมพูชา ได้ประณามการรุกรานอันโหดร้ายของไทยต่อดินแดนอธิปไตยของกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เครื่องบินรบโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าหมายและทำลายโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน

โดย เคซีย์ บาร์เน็ตต์ ประธานหอการค้าอเมริกันในกัมพูชา (AmCham) กล่าวว่า ณ เวลา 00.00 น. ของวันที่ 22 ธันวาคม 2568 ประเทศไทยได้ดำเนินการโจมตีทางอากาศในกัมพูชารวม 23 ครั้ง ส่งผลให้ทั้งเป้าหมายทางทหารและโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนได้รับความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนประถมศึกษา วัด และสะพาน

บาร์เน็ตต์ ระบุว่า ความรุนแรงของการโจมตีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ 18 ธันวาคม มีการโจมตีทางอากาศถึง 5 ครั้ง และอีก 4 ครั้งในวันที่ 19 ธันวาคม แม้ว่าการทิ้งระเบิดส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในเมืองและอำเภอชนบท แต่ก็พบว่ามีการโจมตีในเมือง ปอยเปต ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นด้วย พร้อมย้ำว่า จากแผนที่ของทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา แสดงให้เห็นตรงกันว่าจุดที่ถูกโจมตีทั้งหมดอยู่ภายใน เขตอธิปไตยของกัมพูชา

บาร์เน็ตต์ กล่าวว่า กัมพูชาไม่ได้ตอบโต้การโจมตีทางอากาศของไทย เนื่องจากไม่มีทั้งเครื่องบินรบและระบบป้องกันภัยทางอากาศ ทำให้กัมพูชาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรับการทิ้งระเบิด ส่งผลให้ประชาชนกัมพูชาจำนวน 518,611 ครอบครัว รวมถึงเด็กและผู้สูงอายุ ต้องพลัดถิ่น และอาศัยอยู่ในเต็นท์ชั่วคราวภายในค่ายผู้ลี้ภัย

ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยเองก็รายงานว่ามีประชาชน 213,072 คน ต้องอพยพออกจากพื้นที่เพื่อหลบการยิงปืนใหญ่จากฝั่งกัมพูชา สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนทั้งสองฝั่งชายแดนต่างได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งครั้งนี้

บาร์เน็ตต์ ระบุว่า เป็นที่ทราบกันดีว่ากัมพูชามีประชากรเชื้อสายเขมรราว 95% ขณะที่จังหวัดชายแดนของไทยเองก็มีประชากรเชื้อสายเขมรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน อาทิ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งคาดว่ามีประชากรเชื้อสายเขมรอย่างน้อย 63% แม้จะมีการกลืนกลายทางภาษาอย่างแพร่หลายก็ตาม

พร้อมกันนี้ บาร์เน็ตต์ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยได้ตกลงหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไขเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ภายใต้การไกล่เกลี่ยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ซึ่งได้มอบอัตราภาษีการค้าพิเศษให้ทั้งสองประเทศที่ระดับ 19% นี่ถือเป็นชัยชนะทางเศรษฐกิจของภาคการผลิตไทย เพราะก่อนหน้านั้นประเทศไทยยังไม่ได้ยื่นข้อเสนอทางการค้าใด ๆ ให้กับสหรัฐฯ เลย บาร์เน็ตต์กล่าว

บาร์เน็ตต์เสริมว่า ในทางตรงกันข้าม กัมพูชาได้เสนอเงื่อนไขผ่อนปรนทางการค้าหลายประการแก่สหรัฐฯ มาแล้ว รวมถึงการยกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ ทั้งหมด ซึ่งได้แจ้งต่อผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ก่อนที่ความขัดแย้งทางทหารระหว่างไทยและกัมพูชาจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ไทยได้รับผลตอบแทนทั้งที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม โดยการรุกรานดินแดนกัมพูชาถูกระงับชั่วคราว แลกกับอัตราภาษีศุลกากรที่เอื้อประโยชน์จากสหรัฐฯ บาร์เน็ตต์กล่าว

บาร์เน็ตต์ยังระบุอีกว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นสักขีพยานในการลงนาม ปฏิญญาสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ ระหว่างนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ของไทย และนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ซึ่งเพียงสองสัปดาห์ต่อมา ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 นายกรัฐมนตรีอนุทินได้ประกาศระงับปฏิญญาสันติภาพดังกล่าว และในวันที่ 11 พฤศจิกายน ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าข้อตกลงสันติภาพสิ้นสุดลงและเป็นโมฆะ เหตุผลอย่างเป็นทางการของการยกเลิกข้อตกลงสันติภาพ คือ กรณีทหารไทย 4 นาย ได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดในพื้นที่พิพาท ระหว่างการลาดตระเวนเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568

นอกจากนี้ บาร์เน็ตต์ ยังกล่าวว่า แม้ฝ่ายไทยจะอ้างว่าทุ่นระเบิดดังกล่าวเพิ่งถูกวางใหม่ แต่ก็ไม่ได้แสดงหลักฐานใด ๆ ว่ามีการวางทุ่นระเบิดหลังจากวันที่ 26 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่มีการลงนามในปฏิญญาสันติภาพ และเมื่อพิจารณาถึงผลกระทบจากการยกเลิกข้อตกลงสันติภาพฝ่ายเดียวของไทย ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตของพลเรือนและทหารจำนวนมาก ความเสียหายในวงกว้าง และผู้พลัดถิ่นเกือบ 700,000 คน การยกเลิกข้อตกลงเพียงเพราะทหารบาดเจ็บ 4 นาย จึงดูเป็นการตอบสนองที่เกินกว่าเหตุและไม่สมเหตุสมผล

อย่างไรก็ตาม บาร์เน็ตต์ ยังมองว่า การเรียกร้องให้เกิดสงครามของนายกรัฐมนตรีอนุทินอาจเกี่ยวข้องกับการคำนวณทางการเมืองเพื่อรักษาอำนาจ โดยระบุว่า การเริ่มต้นความขัดแย้งกับกัมพูชาเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ช่วยสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ให้กับนายอนุทิน ก่อนการยุบสภาในวันที่ 12 ธันวาคม 2568

ข่าวที่เกี่ยวข้อง