วันที่ 9 ธ.ค. 2568 พลเรือตรี สุรสันต์ คงศิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงถึงหลักการปฏิบัติของกองทัพไทยในสถานการณ์สู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าเหตุผลที่ไทย ไม่ใช่ฝ่ายเปิดฉากโจมตี แม้จะทราบตำแหน่งอาวุธของฝ่ายตรงข้าม เป็นเพราะไทย ยึดมั่นในหลักสากลว่าด้วย สิทธิในการป้องกันตนเอง Right to Self Defense อันเป็นแนวทางที่ต้องปฏิบัติด้วย ความระมัดระวังสูงสุด
หากย้อนดูการปฏิบัติที่ผ่านมา ทั้งการปะทะครั้งก่อน หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบ 2 วันที่ผ่านมา จะเห็นได้ชัดว่ากองทัพไทยให้ความสำคัญกับหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ หรือ IHL อย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของความเป็นมนุษย์ ซึ่งถือเป็นมาตรฐานสากลที่ไทยยึดถือมาโดยตลอด
เมื่อฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เปิดฉากโจมตีทั้งในวันที่ 7 -8 ธค. แม้จะมีการตกลงหยุดยิงก่อนหน้า และทำให้หลายพื้นที่ของพลเรือนเริ่มได้รับผลกระทบ มีคำถามตามมาว่า เหตุใดไทยไม่โจมตีกลับในเชิงรุก เพื่อสกัดศักยภาพของฝ่ายตรงข้าม
โฆษกกลาโหม อธิบายว่า แม้การตอบโต้เพื่อป้องกันตนเองถือเป็นสิทธิ แต่ทุกการใช้กำลังต้องอยู่ภายใต้หลัก ความได้สัดส่วน แต่ไม่สามารถโจมตีได้ทุกจุด ต้องเป็นพื้นที่ที่เกิดภัยคุกคามโดยตรง
โดยการใช้ F-16 ที่ผ่านมาเป็นการโจมตีเป้าหมายด้านยุทธศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นคลังอาวุธ คลังสินค้า รวมถึงโครงสร้างบัญชาการ เพื่อริดรอนขีดความสามารถหลักของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งถือเป็นขั้นตอนและยุทธวิธีตามหลักสากลเช่นกัน
พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ เสริมว่า การปฏิบัติการของกองทัพอากาศไทยมีเป้าหมายเพื่อ ตอบโต้ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยต้องมั่นใจว่ากำลังรบของไทยปลอดภัยสูงสุด แม้จะพยายามลดการสูญเสียแล้วแต่ยังมีผู้บาดเจ็บจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
สำหรับข้อสงสัยว่า มีการโจมตีเชิงลึกหรือไม่ โฆษกทอ. อธิบายว่า ไทยโจมตีบนพื้นฐานของความจำเป็นและความได้สัดส่วน โดยกำหนดเป้าหมายที่ศูนย์บัญชาการ อาวุธหนัก และจรวดหลายลำกล้อง แต่เนื่องจากข้อมูลมีชั้นความลับ จึงไม่สามารถเปิดเผยเป้าหมายล่วงหน้า ต้องรอผลการปฏิบัติก่อนประกาศให้ทราบ พร้อมย้ำว่า กองทัพไทยดำเนินงานทั้งหมดบนพื้นฐานของการรักษาเอกราช อธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชนไทยเป็นสำคัญ
พันเอก ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีที่ เสนาธิการทหารบกประกาศว่า ไทยจะทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพขีดความสามารถทางทหาร เพื่อความปลอดภัยในระยะยาวว่า ขณะนี้กองทัพบกกำลังดำเนินการตามนั้น แต่บางรายละเอียดไม่สามารถเปิดเผยได้ ว่าจะโจมตีอย่างไรหรือที่ใด ยืนยันเพียงว่าไทยกำลังริดรอนศักยภาพทางทหารฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง
เมื่อถามว่าสถานการณ์ครั้งนี้จะยืดเยื้อหรือไม่ โฆษกทบ ยอมรับว่ากัมพูชามีอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมาก หากดูจากเหตุปะทะครั้งก่อน แต่โดยภาพรวมคาดว่าสถานการณ์น่าจะใช้เวลาพอ ๆ กับเหตุการณ์ครั้งที่ผ่านมา
โฆษกลาโหม กล่าวถึงแผนการอพยพประชาชนบริเวณชายแดน โดยระบุว่ากระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ดำเนินการหลัก และพื้นที่ที่อพยพออกมานั้นอยู่พ้นระยะการยิงของฝ่ายกัมพูชาแล้ว
พร้อมประเมินจากข้อมูลด้านการข่าวว่า อาวุธที่กัมพูชามักใช้คือจรวด BM-21 ซึ่งมีความแม่นยำต่ำและเป็นการยิงปูพรม ส่งผลกระทบต่อพื้นที่พลเรือนสูง และตั้งใจสร้างความตื่นตระหนกในวงกว้างมากกว่ามุ่งเป้าเพียงพื้นที่ทางทหาร
ส่วนกรณีที่กัมพูชาอาจใช้อาวุธพิสัยไกลหรือมีประสิทธิภาพสูงขึ้นโจมตีพื้นที่สำคัญในไทย โฆษกกองทัพอากาศยืนยันว่า ไทยมีสิทธิตามกฎหมายสากลในการใช้มาตรการ ชิงโจมตีก่อน หรือ Preemptive Strike เพื่อปกป้องพลเรือน หากข่าวกรองยืนยันชัดเจนว่าฝ่ายตรงข้ามตั้งใจใช้อาวุธหนักโจมตีพื้นที่ที่ไม่สมควรเป็นเป้าหมาย
พร้อมย้ำว่า หากมีการพิสูจน์ทราบว่ากัมพูชาจะใช้อาวุธหนักโจมตีในไทย ถือเป็นสิทธิชอบธรรมของไทยในการป้องกันตนเอง และกองทัพไทยจะไม่ปล่อยให้ประชาชนต้องเผชิญภัยคุกคามโดยไม่จำเป็น
โฆษกกองทัพอากาศ เสริมว่า แม้ข้อมูลส่วนใหญ่จะเป็นชั้นความลับ แต่ทุกการตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานของยุทธศาสตร์เพื่อยุติปัญหาโดยสันติวิธี ขณะที่การใช้กำลังทหารถือเป็นทางเลือกสุดท้าย
แต่วันนี้ไทยได้มาถึงจุดที่หมดความอดทนแล้ว จึงจำเป็นต้องใช้กำลังทหารเพื่อให้สถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติ พร้อมยืนยันว่า กองทัพไทยพร้อมรบอย่างเต็มศักยภาพ
ผู้สื่อข่าวนครบาล ทีมข่าวสยามนิวส์ รายงาน