เปิดหนังสือ ไทยแจงยูเอ็น ปมปะทะชายแดน ยัน พร้อมเจรจาผ่าน ทวิภาคี-เจบีซี
ข่าวการเมือง

เปิดหนังสือ ไทยแจงยูเอ็น ปมปะทะชายแดน ยัน พร้อมเจรจาผ่าน ทวิภาคี-เจบีซี

จากกรณีเกิดเหตุปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ส่งหนังสือแจ้งข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นไปยังคณะผู้แทนถาวรและคณะผู้สังเกตการณ์ถาวรประจำสหประชาชาติในนครนิวยอร์กทั้งหมด โดยมีเนื้อหาดังนี้

คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติขอแสดงความเคารพอย่างสูงต่อคณะผู้แทนถาวรและคณะผู้สังเกตการณ์ถาวรประจำสหประชาชาติ และขอแจ้งให้ทราบถึงสถานการณ์อันร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย อันเป็นผลจากการรุกรานทางทหารของประเทศกัมพูชา โดยมีรายละเอียดต่อไปนี้

1.เมื่อวันที่ 16 และ 23 ก.ค. 2025 ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยกำลังลาดตระเวนตามเส้นทางปกติที่กำหนดไว้ ซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของประเทศไทย ทหารได้เหยียบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ส่งผลให้ทหาร 2 นาย ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสส่งผลถึงขั้นพิการถาวร ขณะที่ทหารนายอื่นๆ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส จากการตรวจสอบพบว่าทุ่นระเบิด PMN-2 ทั้งหมดที่พบอยู่ในสภาพใหม่ ยังมีเครื่องหมายที่มองเห็นได้ชัดเจน หลักฐานบ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่

ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไทยได้ยื่นรายงานประจำปีเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินการตามพันธกรณีในอนุสัญญาดังกล่าว ตามมาตรา 7 ของอนุสัญญาอย่างต่อเนื่อง รายงานดังกล่าวได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าประเทศไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดในคลังทั้งหมดแล้วตั้งแต่ปี 2003 และต่อมา ได้ทำลายทุ่นระเบิดทั้งหมดที่เก็บไว้เพื่อการฝึกอบรมและการวิจัยในปี 2019 ในทางตรงกันข้าม รายงานล่าสุดของประเทศกัมพูชาระบุว่า ณ วันที่ 31 ธ.ค.2024 กัมพูชายังคงเก็บรักษาทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ไว้

2.เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2025 เวลา 08.20 น. ทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงใส่ฐานทหารไทยที่ตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ประเทศไทย เป็นเหตุให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บทันที 2 นาย หลังจากนั้นไม่นาน กองทัพกัมพูชาเปิดโจมตีอย่างไม่เลือกหน้าต่อดินแดนของประเทศไทยใน 4 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี

การกระทำที่ก้าวร้าว ไม่เลือกเป้า และขัดต่อกฎหมายต่อพลเรือนไทยเหล่านี้ ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงและนำไปสู่การสูญเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์อย่างน่าเศร้า ซึ่งรวมถึงผู้หญิงและเด็ก โครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน รวมถึงโรงพยาบาล และโรงเรียนก็ได้รับความเสียหายอย่างมากเช่นกัน

ณ เวลา 14.00 น. ของวันที่ 24 ก.ค.2025 การโจมตีดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 11 ราย และบาดเจ็บ 24 คน ในจำนวนนี้ 8 คนอาการสาหัส มีประชาชนมากกว่า 102,000 คน ต้องอพยพออกจากบ้านเรือนของตน

3.การโจมตีด้วยอาวุธอย่างต่อเนื่องโดยปราศจากการยั่วยุใดๆ ของกองทัพกัมพูชา ถือเป็นการละเมิดอย่างชัดเจนต่อมาตรา 2(4) ของ กฎบัตรสหประชาชาติ รวมถึงหลักการแห่งความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างรัฐอย่างชัดเจน ประเทศไทยได้ใช้ความอดกลั้นและยับยั้งชั่งใจอย่างที่สุด ต่อการโจมตีด้วยอาวุธซึ่งมีการเตรียมการล่วงหน้าโดยกัมพูชา แต่ถูกบังคับให้ใช้สิทธิในการป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ

มาตรการในการป้องกันตนเองที่ไทยดำเนินการอยู่ในขอบเขตจำกัดเท่าที่จำเป็น และเหมาะสมกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้น โดยพุ่งเป้าไปที่การขภัยคุกคามที่กำลังจะเกิดขึ้นจากกองทัพกัมพูชาเท่านั้น

4.ประเทศไทยขอประณามอย่างรุนแรงต่อการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชาต่อพลเรือน ทรัพย์สินของพลเรือน และสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาล ซึ่งเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 อย่างร้ายแรง โดยเฉพาะมาตรา 18 แห่งอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่หนึ่ง (ว่าด้วยการคุ้มครองผู้บาดเจ็บและเจ็บป่วย-การคุ้มครองโรงพยาบาล)และมาตรา 19 แห่งอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 (ว่าด้วยการคุ้มครองหน่วยงานและสถานพยาบาล) การกระทำอันไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ได้ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานและความยากลำบากแก่พลเรือนผู้บริสุทธิ์

5.ประเทศไทยยังคงยึดมั่นอย่างแน่วแน่ในหลักการยุติข้อพิพาทโดยสันติวิธี และปฏิเสธอย่างเด็ดขาดต่อการใช้กำลังเป็นเครื่องมือในการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศ

ประเทศไทยขอเรียกร้องต่อประชาคมระหว่างประเทศเรียกร้องให้กัมพูชายุติการใช้การสู้รบโดยทันที และกลับเข้าสู่กระบวนการเจรจาอย่างสุจริตใจ ประเทศไทยขอยืนยันอีกครั้งถึงความพร้อมในการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่แล้ว รวมถึงคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ซึ่งมีกำหนดการประชุมในช่วงต้นเดือนก.ย.2025 เพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งที่ยังคงค้างอยู่

คณะผู้แทนถาวรแห่งราชอาณาจักรไทยประจำสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก