ตำรวจ 191 สืบสวนนครบาล ร่วมกับกสทช. เข้าบุกค้นบ้านเช่า ย่านลาดพร้าว หลังพบเบาะแสชายชาวจีน 3 รายเช่า เป็นฐานคอลเซ็นเตอร์หลอกเหยื่อต่าง พบรายรับเดือนแรกกว่า 10 ล้านบาท
ข่าวอาชญากรรม

ตำรวจ 191 สืบสวนนครบาล ร่วมกับกสทช. เข้าบุกค้นบ้านเช่า ย่านลาดพร้าว หลังพบเบาะแสชายชาวจีน 3 รายเช่า เป็นฐานคอลเซ็นเตอร์หลอกเหยื่อต่าง พบรายรับเดือนแรกกว่า 10 ล้านบาท

วันนี้ (23 ต.ค.68) พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พร้อมด้วย นายสุธีระ พึ่งธรรม ผอ.สำนักกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม พ.ต.อ.ธนากร อ่อนทองคำ รองผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ   และเจ้าหน้าที่กองบังคับการสายตรวจ และปฏิบัติการพิเศษ 191 นำหมายค้นศาลอาญา ลงวันที่ 22 ต.ค. 68 ลงพื้นที่ตรวจค้นบ้านเดี่ยวสองชั้น หลังหนึ่ง ตั้งอยู่ภายในลาดพร้าว ซอย 3 แยก 6 เพื่อตรวจค้น หลังกองบังคับการสายตรวจ และปฏิบัติการพิเศษ สืบทราบว่ามีชายชาวจีน 3 รายมีพฤติการณ์ต้องสงสัย โดยมาเช่าบ้านพักหลังดังกล่าวแต่ไม่ค่อยออกจากบ้าน ซึ่งเป็นพฤติการณ์ของขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์

จากการเข้าค้นพบผู้ต้องหาชาวจีน 3 คน ถูกจับกุมตัวนั่งอยู่ด้านหน้าบ้าน ทราบชื่อ คือ Mr.Zhang Hailong อายุ 38 ปี , Mr.Liu Shunyin อายุ 29 ปี  และ Mr.Wu Zhiqiang อายุ 32 ปี

โดยทางพล.ต.ท.สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ได้มีการสอบปากคำผู้ต้องหาผ่านล่ามภาษาจีน โดย นายจาง ไห่หลง ผู้ต้องหา อ้างว่าตัวเองเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ส่วนที่มาอยู่ในบ้านหลังนี้ เพราะต้องการใช้เป็นที่พักอาศัยเท่านั้นตนเองไม่รู้เรื่องเข้ามาก็เห็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เปิดใช้งานอยู่แล้ว

ส่วนภายในบ้านพักสามารถตรวจยึด ของกลางได้ทั้งหมด 7 รายการประกอบด้วย

1. อุปกรณ์ Sim Box จำนวน 4 เครื่อง อยู่ในสภาพไม่ได้ใช้งาน

2. ชุดคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (PC) จำนวน 4 เครื่อง

3. Notebooks จำนวน 4 เครื่อง

4. โทรศัพท์มือถือ จำนวน 29 เครื่อง

5. เร้าเตอร์ จำนวน 5 เครื่อง

6. Pocket WiFi จำนวน 1 เครื่อง

7. อุปกรณ์ส่วนควบอื่นๆ เช่น คีย์บอร์ด ปลั๊กไฟ เป็นต้น

พล.ต.ท.สยาม ระบุว่ากลุ่มผู้ต้องหากลุ่มนี้จะตั้งตัวเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายให้กับเหยื่อที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง โดยเลือกเป้าหมายเป็นคนจีน สเปน อังกฤษ พร้อมบอกผู้เสียหายว่าจะให้คำปรึกษาฟรีจนกว่าคดีจะเสร็จสิ้น ถึงจะมีการคิดเปอร์เซ็นต์ แต่ทางตำรวจเชื่อว่าไม่ได้รับปรึกษาด้านคดีจริง เป็นเพียงแค่การซ้ำเติมเหยื่อ เพราะ ดูจากเครื่องมือที่พบภายในบ้านมีลักษณะคล้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มักจะมาเช่าบ้านเป็นถิ่นฐานเอาไว้หลอกลวง ซึ่งจากการตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่ายที่เป็นภาษาจีนพบว่า มีการบันทึกไว้ตั้งแต่ ตุลาคม ปี 2567 ที่กลุ่มผู้ต้องหากลุ่มนี้เริ่มเข้ามาเช่าบ้านอยู่ ในเดือนแรกที่เข้ามาอยู่พบว่ามีรายรับถึง 2 ล้านหยวน หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 10 ล้านบาท

โดยจากการสอบถามเพื่อนบ้านที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงให้ข้อมูลว่ากลุ่มผู้ต้องหาจะมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเป็นวงรอบจะไม่ซ้ำหน้าเดิม แต่จะมี 1 คนที่จะอยู่บ้านหลังนี้เป็นประจำ คือ นายจาง ไห่หลง ที่เดินทางมาจากประเทศลาว เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ส่วนผู้ต้องหาอีก 2 คนพบว่าเดินทางมาจากประเทศกัมพูชา เข้ามาประเทศไทยตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568

ส่วนหัวหน้าแก๊งค์อยู่ระหว่างการขยายผล รวมถึงบุคคลอื่นที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน จะขอขยายผลอีกครั้งนึง ส่วนเงินหมุนเวียนต่อเดือน จะขอตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่ายของผู้ต้องหาก่อนว่ามีเงินเข้าออกเท่าไหร่

พ.ต.อ.ธนากร อ่อนทองคำ รองผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ระบุว่าส่วนบ้านหลังที่ผู้ต้องหาทั้ง 3 คนใช้อยู่อาศัยจากการตรวจสอบพบว่า คนจีนได้จ้างหญิงชาวไทยให้ไปทำสัญญาเช่าบ้านตั้งแต่ปี 2567 จ่ายค่าเช่าเดือนละ 30,000 บาท ก่อนจะให้หญิงชาวไทยทำสัญญาเช่าปลอมขึ้นมาอีกหนึ่งฉบับ โดยที่มีชื่อชาวจีนเป็นผู้เช่าโดยตรงกับเจ้าของบ้าน เชื่อว่าที่ผู้ต้องหาทำแบบนี้ เพราะต้องการที่จะไปเปิดใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย แต่จากการสอบถามเจ้าของบ้าน ยืนยันว่าตนเองไม่ได้ทำสัญญากับคนจีนแต่ทำสัญญาเช่ากับหญิงชาวไทยโดยตรง

นายสุธีระ พึ่งธรรม ผอ.สำนักกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม ระบุว่า กลุ่มผู้ต้องหากลุ่มนี้มีการถอดวงจรโทรศัพท์มือถือ มาประกอบซิมบล็อก เพื่อเอามาใช้อย่างใดอย่างหนึ่งแต่จากการตรวจสอบในขณะนี้ยังไม่มีการเปิดใช้งาน เบื้องต้นจะดำเนินการในฐานความผิด คือนำเข้า ทำ และมี เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต อัตราโทษ จำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 ซึ่งในกรณีที่มีการประกอบซิมบ๊อบ กสทช. จะไม่ใช้นโยบายในการเปรียบเทียบปรับ เพราะไม่ได้สัดส่วนกับความเสียหายที่เกิดขึ้น จึงจะมีการดำเนินคดีขั้นเด็ดขาด และจะดำเนินการตาม พ.ร.บ. กรมศุลกากรที่เกี่ยวข้อง

ผู้สื่อข่าวนครบาล ทีมข่าวสยามนิวส์ รายงาน