
จับแล้ว ป้ามหาภัย ตีเนียนทำทีสร้างความสับสน ก่อนฉกเงินทอนร้านค้าสะดวกซื้อ
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม กก.1 บก.ป. ร่วมกันจับกุม นางสาวน้ำผึ้งฯ อายุ 55 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญามีนบุรี ที่ จ.786/2568 ลงวันที่ 9 มิถุนายน 2568 ฐานความผิด ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน สามารถจับกุมได้ที่ ห้องเช่าแห่งหนึ่ง ซอยสุขุมวิท 76 ตำบล สำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ
สืบเนื่องจากมีคนร้ายแต่งกายปิดอำพรางใบหน้า สวมใส่หน้ากากทำให้จดจำใบหน้าได้ยาก มีพฤติการณ์ใช้กลอุบายหลอกลวงพนักงานในร้านค้าต่างๆ โดยมักทำทีจะเลือกซื้อสินค้าที่มีราคา 49 บาท และนำมาชำระเงินที่เคาน์เตอร์ โดยให้ธนบัตร 1,000 บาท จำนวน 1 ฉบับ หลังจากนั้นพนักงานได้ทอนเงิน ให้จำนวน 951 บาท เป็นธนบัตร 500 บาท 1 ฉบับ ธนบัตร 100 บาท 4 ฉบับ และเหรียญ
แต่ขณะที่ลูกค้า กำลังเก็บเงินทอน คนร้ายคนดังกล่าว จะตั้งใจทำธนบัตร 500 บาท ให้ตกหล่นที่พื้น และออกอุบายโวยวายกับพนักงานว่าได้เงินทอนไม่ครบ และอ้างว่าสินค้าราคาสูงขึ้นจากที่เคยซื้อ ขอยกเลิกไม่ซื้อและขอคืนเงินทำให้พนักงานขายเกิดความสับสน คืนธนบัตร 1,000 บาท ให้กับหญิงคนดังกล่าวไป ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหาได้ก่อเหตุกับร้านสะดวกซื้อในหลายท้องที่ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และกรุงเทพมหานคร โดยการก่อเหตุของผู้ต้องรายนี้เป็นภาพปรากฏแพร่หลายในสื่อสังคมออนไลน์ และช่องของสื่อมวลชนต่างๆ
เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ป. เห็นว่าเหตุดังกล่าวเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนจึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูล และสืบสวนหาพยานหลักฐานกระทั่งสืบทราบว่าคนร้ายดังกล่าว คือ นางสาวน้ำผึ้ง ฯ (ผู้ต้องหารายนี้) ก่อนจะรวบรวมพยานหลักฐานดังกล่าวส่งให้พนักงานสอบสวน สน.มีนบุรี และพนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอออกหมายจับ ต่อมาศาลฯ อนุมัติหมายจับดังกล่าว
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจกก.1 บก.ป.สืบสวนจนทราบว่า นางสาวน้ำผึ้งฯ ได้พักอาศัยอยู่ที่ห้องเช่าแห่งหนึ่งในพื้นที่ ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ จึงได้นำหมายค้นศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ 430/2568 เข้าตรวจค้นห้องพักดังกล่าว ผลการตรวจค้น พบนางสาวน้ำผึ้งฯ อยู่ในห้องพักและได้ตรวจยึด เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่สวมใส่ขณะที่ก่อเหตุ เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในคดี จากการสืบสวนและซักถามปากคำเบื้องต้น นางสาวน้ำผึ้งฯ รับว่าเป็นบุคคลที่ไปก่อเหตุดังกล่าวจริง โดยในแต่ละวันจะออกเดินทางจากห้องพักประมาณเที่ยง แล้วนั่งรถประจำทางบ้าง รถไฟฟ้าบ้าง ตระเวนหาร้านค้าที่มีพนักงานเป็นวัยรุ่นอายุน้อยๆ เพราะเป็นเหยื่อที่หลอกลวงง่าย เงินที่ได้มานำไปใช้จ่ายส่วนตัว และฝากเข้าบัญชีธนาคาร ภายหลังการจับกุม นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.มีนบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
จากการสอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ให้การยอมรับว่า เป็นบุคคลที่แต่งกายปกปิดอำพรางใบหน้า สวมใส่หน้ากากให้จดจำได้ยาก ตระเวนไปหลอกลวงพนักงานขาย เพื่อใช้กลอุบายเอาเงินทอนจากร้านค้าสะดวกซื้อในพื้นที่ต่างๆในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล จริง นำเงินมาใช้ในชีวิตประจำวัน
ผู้สื่อข่าวนครบาล ทีมข่าวสยามนิวส์ รายงาน