บุกค้นวัดดัง จ.จันทบุรี พบโพยหวยสมุดเงินกู้และห้องเช่า

บุกค้นวัดดัง จ.จันทบุรี พบโพยหวยสมุดเงินกู้และห้องเช่า

วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เจ้าหน้าที่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรจังหวัดจันทบุรี บูรณาการร่วม ฝ่ายปกครอง ตำรวจ สำนักพระพุทธ จัดหางานจังหวัด ตรวจคนเข้าเมือง บุกเข้าค้นตรวจสอบวัดแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ หมู่4 ต.ตะปอน อ.ขลุง จ.จันทบุรี เนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านในพื้นที่ว่า พระจากวัดดังกล่าวมีพฤติกรรมออกบิณฑบาต แต่ไม่อยากรับข้าวของ หรืออาหารที่ญาติโยมนำมาทำบุญ แต่ขอเป็นปัจจัยแทน และยังมีพระกัมพูชาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก มีบางองค์ลักลอบทำพิธีและจำหน่ายวัตถุมงคล

หลังจากการบุกเข้าตรวจค้น พบพระครูสิริเจตยานุรักษ์ เจ้าอาวาสวัด ให้การว่าภายในวัดของตนเองเคยมีพระกัมพูชามาอาศัยอยู่จริง แต่ปัจจุบันได้ไปหมดแล้ว มาเป็นบางครั้ง ชั่วครั้งชั่วคราว แต่มีจำพรรษาอยู่ปัจจุบันอยู่ 1 รูป มีเอกสารถูกต้อง แต่หลังจากเจ้าหน้าที่ได้สอบสวนพบว่าเอกสารเป็นเพียงพาสปอร์ตท่องเที่ยว จึงมอบหมายให้สำนักพุทธฯ เป็นผู้ดำเนินการและส่งดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

จากการตรวจค้นกุฎิเพิ่มเติม ยังพบว่าพระกัมพูชา มีสมุดจดหวยใต้ดิน สมุดบัญชีเงินกู้ และยังพบว่ามีสมุดการเขียนเลขประกอบกับราศีดวง และตีเป็นเลขหวยใต้ดิน เจ้าหน้าที่คาดว่าน่าจะเป็นการนำดวงของชาวบ้านมาประกอบกับวิชา แล้วตีออกมาเป็นเลขเพื่อให้ชาวบ้านนำไปเสี่ยงโชค ส่วนโพยหวยคาดว่าพระน่าจะเป็นผู้จดส่งให้นายทุนอีกที เนื่องจากพบว่ามีงวดล่าสุด ลงวันที่ 2 พ.ค. 68 น่าจะมีงวดก่อนหน้านี้ด้วย

จากการตรวจสอบโดยบริเวณรอบของวัด พบส่วนใหญ่เป็นห้องรกร้าง สลับซับซ้อน บางห้องพบร่องรอยของวัตถุมงคลหลายอย่าง ที่ถูกทิ้งเอาไว้ มีกุฎิบางหลังพบพระพุทธรูปอยู่ในกระเป๋าสะพาย แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ไปแตะต้อง

ส่วนบริเวณรอบวัดยังพบการลักลอบทำเป็นห้องเช่าผิดกฎหมาย ปล่อยให้ผู้คนมาเช่าอาศัยอยู่ ในราคาห้องละ 1,500-2,000 บาท และที่น่าตกใจพบว่ามีชาวกัมพูชามาเช่าอาศัยอยู่ด้วย จำนวน 6 คน สามารถควบคุมตัวไว้ได้ 2 คน และเด็กเล็กอีก 1 คน ส่วนที่เหลืออีก 4 คน เดินทางไปทำงานก่อนหน้านี้ จึงมอบให้จัดหางานจังหวัดและเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองรับดำเนินการต่อไป

ส่วนทางด้านเจ้าอาวาส พระครูสิริเจตยานุรักษ์ ได้ให้การปฏิเสธว่า ตนเองให้ชาวกัมพูชามาเช่าอาศัยอยู่ แต่มีเพียงชาวบ้านที่ยากจนมาเช่าอยู่ และเงินที่ได้ นำมาจ่ายค่าน้ำค่าไฟภายในวัด ส่วนชาวกัมพูชานั้นตนเองไม่รู้เรื่อง

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จึงเชิญตัวพระกัมพูชา 1 รูป ไปทำการสอบสวนที่ สภ.ขลุง พร้อมกับชาวกัมพูชาที่ควบคุมตัวได้อีก 2 คน และจะดำเนินการเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อกฎหมาย ห้องเช่า การให้ที่พักพิงต่างด้าว จนกระทั่งเรื่องของการทำห้องเช่าหรือรายได้ของวัดโดยไม่จัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย

ทั้งนี้ ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังปฎิบัติหน้าที่มีรถอเนกประสงค์สีขาว มีคนขับเป็นหญิงลักษณะสูงวัย ขับเข้ามาพร้อมพร้อมกับตะโกนเสียงเอะอะโวยวาย มีใจความด่าทอเจ้าหน้าที่ว่าเข้ามาทำแบบนี้เสื่อมเสีย

ผู้สื่อข่าวจึงเข้าไปสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น จึงทราบว่าหญิงคนนี้คือ แม่บุญ อายุ 72 ปี ปัจจุบันเป็นผู้ที่ดูแลวัด ผู้สื่อข่าวสอบถามเพิ่มเติมว่าวัดดังกล่าวมีพระกัมพูชาอยู่จริงหรือไม่ แม่บุญก็ให้การสอดคล้องกับเจ้าอาวาสว่า ก่อนหน้านี้เคยมี แต่ปัจจุบันได้ไปแล้ว ส่วนห้องแถวได้เก็บเป็นเงินค่าใช้จ่ายค่าน้ำค่าไฟของวัด ตนเองยังรู้สึกน้อยใจเลยว่า เงินก็เก็บให้แต่ไม่เคยได้แม้แต่บาทเดียว

เรื่องทั้งหมดเกิดจากความอิจฉาของชาวบ้านที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ตั้งแต่ครั้งจัดงานปิดทองฝังลูกนิมิต ตนเองก็ถูกกล่าวหาว่านำเงินของวัดไป และเจ้าอาวาสก็ไม่ได้แจ้งตนเองเลยด้วยซ้ำว่าได้เงินทั้งหมดกี่บาท ถึงจะไม่แจ้งก็ไม่เป็นอะไ รแต่เจ้าอาวาสนำเงินไปพัฒนาวัดจนหมด ส่วนข้อหาที่ตนเองมีสัมพันธ์พิเศษ สนิทสนมกับเจ้าอาวาสนั้น แม่บุญบอกว่า ตนเองติดตามพ่อมาทำบุญตั้งแต่สมัยอายุ 12 ขวบ ตั้งแต่วัดยังเป็นหลังคามุงจาก จนกระทั่งปัจจุบันตนเองช่วยดูแลวัดทำบุญกับวัด มาโดยตลอด เรื่องทั้งหมดไม่เป็นความจริง เกิดจากความอิจฉา

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ