จากกรณีที่ประชาชนหลายคนโดนอายัดบัญชีโดยไม่ได้มีความผิด ซึ่งก่อนหน้านี้ร้านค้าจำนวนมากต่างหวาดกลัวการกระทำดังกล่าว จนไม่กล้าให้ลูกค้าโอนเงินผ่านบัญชี เพราะกลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดจนโดนอายัด เช่น เจ้าของร้านเสริมสวยแห่งหนึ่ง เล่าว่า มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการสักคิ้วและสแกนจ่ายค่าบริการ 1,200 บาท ต่อมาพบว่าบัญชีของตนถูกอายัด จึงไปติดต่อธนาคาร และพบหน้ากับผู้แจ้งความ คือ ลูกค้าที่ร้าน โดยอีกฝ่ายให้เหตุผลว่าแจ้ง อายัดผิด เพราะถูกแก๊งคอลเซนเตอร์หลอก

ดร.เอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) โฟนอินเข้า รายการโหนกระแส ชี้แจงว่า มาตรการเหล่านี้ไม่ได้เพิ่งเริ่มทำ แต่ดำเนินการต่อเนื่องมากว่า 2 ปี เพื่อติดตามเส้นเงินและป้องกันความเสียหายจากมิจฉาชีพ แต่ด้วยความที่ติดตามเส้นเงินลึก อาจกระทบไปยังบัญชีผู้บริสุทธิ์

ดร.เอกพงษ์กล่าวว่า หากเจ้าของบัญชีสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ จะสามารถปลดอายัดได้ทันที ขณะเดียวกัน การถูกอายัดบัญชี ทุกบัญชี ไม่ใช่แค่บัญชีที่รับโอนจากบัญชีม้า ต้องมีหมายจากตำรวจเท่านั้น โดย AOC มีหน้าที่ส่งเรื่องให้ธนาคารอายัดบัญชีต้องสงสัยได้ 7 วัน หลังจากนั้นต้องใช้อำนาจตาม ป.วิ.อาญา ซึ่งเป็นอำนาจของตำรวจ

ในรายการ ทนายพัฒน์ อนุสรณ์ อะสุระพงษ์ สรุปว่า ขณะนี้ยังไม่มีคำตอบชัดเจนให้ประชาชนเกี่ยวกับการเยียวยาผู้เสียหาย ทั้งที่บางรายพิสูจน์ได้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับมิจฉาชีพ แต่กลับเสียเงิน เวลา และโอกาสในชีวิต โดยไม่มีหน่วยงานรัฐหรือธนาคารใดรับผิดชอบ

อีกประเด็นที่น่ากังวลคือ ในขณะที่ผู้เสียหายต้องทะเลาะกับหน่วยงานรัฐ มิจฉาชีพอาจยังดำเนินกิจกรรมต่อไป เช่น โปรโมตเว็บพนัน หรืออาจมีมิจฉาชีพออกโปรโมชันรับจ้างปลดอายัดบัญชี ทำให้เกิดการหลอกซ้ำในอนาคต