เมื่อเวลา 09.00.น.ของวันที่ 05 ตุลาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ในเขต อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี ได้พบกับอาจารย์ถวัลย์ เย็นยิ้ม อายุ 59 ปี ครูสอนวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา โดยสอนนักเรียนตั้งแต่ชั้นม.1 ถึง ม.6 ตั้งแต่ปี 2531-2568 มาประมาณ 37 ปี ได้พาผู้สื่อข่าวไปตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดภายในห้องพักเด็ก ช่วงเวลา 03.28 น. ของวันที่ 3 ตุลาคม 2568 ภายในห้องพบน้องเก้าผู้บาดเจ็บที่ถูกตะขาบกัดอายุ 13 ปี ชั้น ม.1 ได้มาพักอาศัยนอนอยู่ที่ห้องโรงเรียนตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา เพื่อมาฝึกกีฬา ไว้เข้าร่วมกิจกรรมแข่งขันกีฬา

ภายในกล้องวงจรปิดพบน้องเก้าได้ตื่นขึ้นมาช่วงเวลาประมาณ 3:28 น. คล้ายกับถูกสัตว์ชนิดหนึ่งกัดเข้าที่นิ้วชี้ข้างซ้าย คาดว่าจะเป็นตะขาบกัด เนื่องจากน้องเก้าบอกมันมีขาคล้ายตะขาบ จึงได้ไปปลุกรุ่นพี่ ที่นอนตรงข้ามกันภายในห้อง เพื่อขอความช่วยเหลือให้ช่วยมาดูพร้อมกับพาไปทานยาพารา 1 เม็ด เพื่อบรรเทาอาการปวด หลังจากกินยาเสร็จก็ได้พากันเดินหาตัวตะขาบภายในห้อง แต่ก็ไม่พบเห็น น้องเก้าและเพื่อนจึงได้พากันเข้านอนต่อ ล่าสุดจนกลายเป็นประเด็น ถูกทางฝ่ายเด็กว่าทางคณะครูไม่ดูแล ไม่ยอมพาไปส่งรพ.

ล่าสุดทางอาจารย์ถวัลย์ เปิดเผยว่า อาจารย์เป็นคนดูแล ไม่ใช่คนเฝ้าเด็ก โดยมีระเบียบวินัยให้กับเด็กที่เข้ามานอนเพื่อการฝึกกีฬา โดยมีระเบียบวินัยให้อย่างชัดเจน จนวันเกิดเหตุวันนั้นตนเองได้ประชุมเด็กเสร็จแล้วจึงได้ส่งเด็กเข้านอนภายในห้อง โดยบอกกับเด็กนักเรียนว่าหากเข้านอนแล้วห้ามออกจากห้อง ถ้าออกจากห้องถือว่าฝ่าฝืน เนื่องจากทางโรงเรียนห่วงของเรื่องการปลอดภัยของเด็กนักเรียน จึงได้ทำการล็อคประตูหน้าห้อง แต่ไม่ใช่การขังเด็ก โดยจะนำกุญแจที่ล็อคไว้ไปแขวนไว้ให้เด็กเห็น

โดยจะมีเด็กอีกคนที่เป็นหัวหน้าคุมเด็กอีกที เป็นคนดูแลและคอยดูแลสถานการณ์เกิดเหตุภายในโรงเรียนเพื่อส่งข่าวให้กับทางอาจารย์ทราบ ส่วนในเรื่องของมือถือของเด็ก ตัวอาจารย์เองไม่ได้ยึดมือถือเด็กแต่อย่างใด เพียงแต่ห้ามเด็กนำมือถือเข้าไปด้วย เนื่องจากห่วงว่าเด็กจะเอามือถือไปชาร์จที่หัวเตียงกลัวเรื่องของไฟฟ้ารั่วลัดวงจร ทางอาจารย์เองจึงได้ทำการตกลงกับเด็กเพื่อขอเก็บมือถือไว้ให้ และเพิ่งจะเริ่มเก็บมือถือจากเด็กได้ประมาณ 2-3 วันที่ผ่านมา หลังจากที่เก็บมือถือเด็กแล้ว รุ่งเช้าก็จะนำมือถือคืนให้กับเด็กแต่ละคนคืนกลับไป และที่ทำไปเนื่องจากเป็นห่วงเด็ก พอมาถึงรุ่งเช้า วันเกิดเหตุทางอาจารย์ ก็ได้มีการถามน้องเก้าว่าทำไมไม่ไปซ้อมกีฬา โดยเด็กนั้นตอบกลับมาว่าถูกตะขาบกัด จึงได้สอบถามกับเด็กว่าที่ถูกตะขาบกัดเพราะว่าที่นอนสกปรกหรือไม่ ตัวเด็กก็ไม่ได้บอกว่าได้เจ็บปวดมากแค่ไหน
จึงได้สอบถามไปยังหัวหน้าห้องคุมเด็กได้เล่าให้ฟัง ว่าขณะนั้นตัวน้องเก้าเองได้ถูกสัตว์กัดต่อย โดยบอกว่าเป็นตะขาบ แล้วก็ได้ถามว่า ไหวไหม แต่ตัวน้องเก้าได้ตอบกลับมาว่ายังไหว พร้อมกับทางโรงเรียนดังกล่าว ไม่มีครูเวรผู้ชายเฝ้ามาเป็นปีแล้ว ตามมาตรการของทางรัฐแต่จะมีรปภ.และครูสับเปลี่ยนเวรช่วยกันเฝ้าทางเข้าออกที่หน้าโรงเรียน และตัวอาจารย์เองซึ่งเป็นผู้ดูแลจะคอยเช็คกล้องวงจรปิดภายในห้องและบริเวณข้างนอก เพื่อคอยดูแลเด็กว่านอกลู่นอกทางหรือไม่ จนกระทั่งเป็นเรื่องเป็นราวให้กับฝ่ายญาติเด็ก ว่าตัวอาจารย์เองนั้นไม่ดูแลเด็ก ทั้งๆที่ขณะนั้นมีทางผู้ปกครองเด็กท่านอื่นได้สอบถามน้องเก้าแล้วว่าถูกตะขาบกัดไหวไหม แต่ทางตัวเด็กนั้นได้แจ้งไปยังผู้ปกครองทราบ แต่ไม่แจ้งกับทางคณะครูว่าตัวน้องเก้าเองต้องการประสงค์ที่จะไปโรงพยาบาลเพื่อเข้าทำการรักษา

จนมาล่าสุด วันนี้ตัวอาจารย์เองพร้อมคณะครูและเด็กหัวหน้าคุมห้องพร้อมกับเด็กนักเรียนได้เดินทางไปเยี่ยมอาการของน้องเก้า ในฐานะอาจารย์ของเด็ก ขณะที่ตัวเด็กนั้นอยู่กับยายเพื่อสอบถามว่าโดนสัตว์อะไรกัดต่อย โดยทางน้องเก้าเปิดเผยกับว่า ขณะนั้นน้องเก้าไม่เห็นว่าเป็นตะขาบกัด แต่รู้ว่าถูกสัตว์มีพิษกัด และสัตว์ตัวนั้นมีขาหลายขาและคาดว่าน่าจะเป็นตะขาบกัด ระหว่างเข้าเยี่ยมเด็ก ทางผู้ปกครองของเด็กนั้นมาพอดี เกิดความเครียด ว่าระหว่างเกิดเหตุทำไมทางครูไม่พาตัวหลานไปรักษา ทำไมถึงพึ่งมาหาตอนนี้

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามกับอีกฝ่าย ซึ่งเป็นผู้ปกครองของน้องเก้า ชื่อนายจรัญ อายุ 48 ปี บ้านท่ามะนาว อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี เปิดเผยว่าน้องเก้าเป็นหลานของตนเองวันเกิดเหตุ ตนเองไม่ได้อยู่ที่บ้าน แต่มาทราบจากเด็กภายหลังช่วงเวลา10:30 น ของวันที่ 3 ตุลาคม 2568 หลังจากที่หลานได้มือถือคืนจากครูแล้ว ได้โทรมาบอกว่าหลานถูกตะขาบกัด ตนเองจึงได้ประสานไปยังครอบครัวนำตัวหลานมาโรงพยาบาลลานสัก เพื่อทำการรักษา โดยหลานบอกถูกตะขาบกัดตั้งแต่ช่วง ตี 2-ตี 3 และคาใจว่า ทำไมทาง อาจารย์ถึงปล่อยให้ตัวหลานได้นอนทุกข์ทรมานมาหลายชั่วโมง จึงรู้สึกติดใจสาเหตุของการเข้าช่วยเหลือเด็ก ที่อาจารย์น่าจะควรเอาใจใส่ มากกว่านี้ พร้อมกับไม่มีการโทรมาสอบถามหาเด็กแต่อย่างใด และไม่ใช้เกิดเหตุแล้วค่อยมาใส่ใจ จนทำให้คนในครอบครัวรู้สึกไม่สบายใจ แต่ขณะนี้ตัวหลานเองอาการเริ่มดีขึ้นแล้ว
ผู้สื่อข่าวจังหวัดอุทัยธานี รายงาน