เมื่อวันที่ 28 กันยายน นายเกื้อกูล มานะสัมพันธ์สกุล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์พายุรากาซาได้ผ่านพ้นไปแล้ว โดยต่อจากนี้คือการประเมินสถานการณ์ของพายุบัวลอยที่กำลังจะพัดเข้ามา ซึ่งมีแนวโน้มว่าแม่น้ำปิงจะไม่เกิดน้ำท่วม แต่ยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยทุกภาคส่วนมีมาตรการเร่งระบายน้ำลงสู่ทะเลสาบดอยเต่า เพื่อนำไปสู่เขื่อนภูมิพล เป็นการพร่องแม่น้ำปิงเพื่อรองรับปริมาณน้ำจากพายุบัวลอย โดยในช่วง 24 ชั่วโมงนี้ ต้องควบคุมระดับน้ำที่สถานี P1 สะพานนวรัฐ ให้ต่ำกว่า 300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีให้ได้
นายเกื้อกูลกล่าวว่า มาตรการเร่งด่วนที่สุดในขณะนี้ คือ การปิดเขื่อนแม่งัดและเขื่อนแม่กวงจนกว่าแม่น้ำสายหลักจะลดระดับลงจนอยู่ในภาวะปกติ โดยเขื่อนแม่งัดมีปริมาณน้ำกักเก็บอยู่ที่ร้อยละ 92-93 ของความจุสูงสุดที่สามารถรองรับได้ถึง 106% ซึ่งยังสามารถรองรับพายุได้อีก 1 ลูก จึงยังไม่ถือว่าน่าเป็นห่วงในขณะนี้
สำหรับมาตรการหลักทั้ง 5 ข้อ ที่ดำเนินการพร้อมกัน ประกอบด้วย
1.การเร่งระบายน้ำออกจากแม่น้ำสายหลัก
2.การตรวจสอบความแข็งแรงของคันดินเล็กๆ ที่อยู่ในพื้นที่
3.การกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ โดยเฉพาะบริเวณอาคารระบายน้ำล้น เพื่อเปิดทางน้ำให้ไหลได้สะดวก
4.การตรวจสอบระบบเตือนภัยให้มีความแม่นยำมากที่สุด
5.การดึงน้ำออกจากลำน้ำสาขาให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำท่วมในพื้นที่อำเภอหางดง
นายเกื้อกูลเปรียบเทียบว่า เหมือนกับการที่บรรทุกถ่านหินมาเต็มลำ หากฝนตกลงมาเพิ่มเติม ก็เหมือนกับการเติมถ่านหินลงไปอีก จำเป็นต้องทำให้มีพื้นที่ว่างเพื่อระบายน้ำให้เร็ว ซึ่งหากดำเนินการครบถ้วน เมื่อพายุบัวลอยเคลื่อนเข้ามา ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์น้ำท่วมได้ โดยขณะนี้แนวโน้มฝนจะตกในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างมากกว่า ส่งผลให้พื้นที่เศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่มีโอกาสรอดจากผลกระทบของน้ำท่วม
นายเกื้อกูลกล่าวเพิ่มเติมว่า พื้นที่ที่ยังน่าเป็นห่วงคือ พื้นที่เศรษฐกิจของตัวเมืองลำพูน เนื่องจากแม่น้ำกวงล้นตลิ่ง ส่งผลให้ตัวเมืองและอำเภอป่าซางเกิดน้ำท่วมขังและระดับน้ำยังคงสูง ถือเป็นพื้นที่สีแดงที่ต้องเร่งให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนเช่นกัน