ครอบครัวของ ลุงเริญ (นามสมมุติ) อายุ 60 ปี ซึ่งเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันเมื่อช่วงเช้าวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา กำลังเรียกร้องขอความเป็นธรรมและคำชี้แจงจากศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการนเรนทรตรัง (1669) และโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.ตรัง หลังจากเชื่อว่าความล่าช้าในการช่วยเหลือเป็นเหตุให้ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป
โดยนายเจริญ (นามสมมุติ) ซึ่งทำงานเป็นพนักงานดูแลโรงแรมแห่งหนึ่งใน อ.สิเกา เกิดอาการหมดสติและลิ้นจุกปาก ในขณะที่อยู่กับภรรยาวัย 61 ปี และหลานวัย 11 ปี ซึ่งไม่มีใครสามารถขับรถยนต์พาไปส่งโรงพยาบาลได้ ด้วยความตื่นตระหนก ภรรยาจึงประสานนายจ้างให้โทรขอความช่วยเหลือจากสายด่วนฉุกเฉิน 1669 ซึ่งแม้โรงแรมจะตั้งอยู่ห่างจากโรงพยาบาลเพียง 200-300 เมตร แต่ไม่มีรถฉุกเฉินเข้ามาให้การช่วยเหลือในระยะเวลาถึง 30-40 นาที
ด้านนายจ้างของนายเจริญ อายุ 45 ปี เล่าว่า ตนได้รับโทรศัพท์จากภรรยานายเจริญเมื่อเวลาประมาณ 04.38 น. ของวันที่ 12 ก.ย. จึงรีบโทรแจ้ง 1669 ในเวลา 04.39 น. แต่ได้รับคำตอบว่าโรงพยาบาลไม่มีรถกู้ชีพประจำอยู่ เนื่องจากออกไปทำภารกิจอื่น และจะประสานให้ภายหลัง ตนจึงโทรแจ้ง 191 อีกทาง ซึ่งก็ได้คำตอบว่ารถกู้ภัยไม่พร้อมออกปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ต้องใช้เวลานานนับชั่วโมงกว่าจะมีพลเมืองดีมาช่วยเหลือและขับรถนำส่งโรงพยาบาล แต่สุดท้ายนายเจริญก็เสียชีวิตลง
ภรรยาผู้เสียชีวิต เล่าทั้งน้ำตาว่า ตนไม่สามารถขับรถได้ ในขณะที่พยายามเคาะประตูขอความช่วยเหลือจากลูกค้าในโรงแรมก็ไม่มีใครเปิด กระทั่งหลานชายได้ไปพบพลเมืองดีและขอให้ช่วยขับรถพาสามีไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งเมื่อไปถึงแพทย์พยายามปั๊มหัวใจช่วยชีวิตนานถึง 25 นาที แต่ก็ไม่เป็นผล
ขณะที่บุตรชายคนโตของผู้เสียชีวิต ซึ่งทราบเรื่องและรีบเดินทางจาก อ.เมืองตรัง มายังที่เกิดเหตุ ได้โทรสอบถามเจ้าหน้าที่ 1669 ซึ่งให้เหตุผลว่าทีมแพทย์ไม่พร้อม และต่อมาเจ้าหน้าที่ในห้องฉุกเฉินยังแจ้งว่า เนื่องจากพยาบาลที่เข้าเวรตั้งครรภ์อยู่จึงไม่สามารถออกไปรับผู้ป่วยได้ ซึ่งขัดแย้งกับคำตอบที่ว่ารถฉุกเฉินออกไปทำภารกิจอื่น อีกทั้งรถกู้ภัยจาก อบต. ซึ่งอยู่ห่างออกไป 2 กิโลเมตร ก็มาถึงหลังตนเองซึ่งเดินทางมาจากระยะทาง 50 กิโลเมตรแล้ว
ถ้ามีการประสานงานที่ดีและรวดเร็วกว่านี้ พ่อผมอาจไม่เสียชีวิต นายสาโรจน์กล่าวด้วยความคับแค้นใจ และตั้งคำถามถึงความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ของโรงพยาบาล และการประสานงานของศูนย์ 1669 โดยหลังจากนี้ครอบครัวเตรียมยื่นเรื่องร้องเรียนไปยังผู้ตรวจการแผ่นดินและสาธารณสุขจังหวัดตรังเพื่อขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และหวังว่าเรื่องนี้จะเป็นกรณีตัวอย่างเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นกับใครอีกในอนาคต