เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2568 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ภายหลังเดินทางไปงานจับหมายเลขพรรคการเมือง สำหรับการเลือกตั้ง โดยเปิดเผยว่าได้พบกับ รังสิมันต์ โรม และ รักชนก ศรีนอก
ระบุว่า จับเบอร์หาเสียง
เช้านี้วันจับหมายเลขพรรค ผมได้พบรังสิมันต์ โรม และไอซ์ รักชนก
ทั้งสองบอกผมว่า ด่าพรรคส้มน้อยๆ หน่อย
จึงขอชี้แจงแถลงไขให้เข้าใจ
ผมเลือกพรรคส้มมาถึง 2 ครั้ง ย่อมมีสิทธิ์จะตำหนิบ้าง มิได้โกรธแค้น เพียงแต่ผิดหวัง
คนเลือกย่อมมีสิทธิจะตำหนิเพื่อปรับปรุงแก้ไข
พูดกันซื่อๆ ตรงๆ สไตล์เดียวกันกับ คนพรรคส้ม
อย่าไปแยกคนหนุ่มคนแก่ เพราะมีหลายกลุ่มหลายวัยที่ให้โอกาสคนหนุ่มสาว ทำให้ได้คะแนนถึง 14 ล้านเสียง
อย่าไปคิดว่า ตำหนิกันไม่ได้
ต้องเชียร์กันตะพึดตะพืออย่างเดียว
หากจะเรียกอีกอย่างคือ ติเพราะรัก เตียนเพราะคิดถึง หากคนไม่รักไฉนจะโพสต์เขียนถึงทุกวัน
เมื่อได้เบอร์ประจำพรรคก็จะเข้าสู่เทศกาลหาเสียง เรื่องนี้ต้องยกให้พรรคส้ม
แต่ไม่อยากให้ไปขีดเส้น แบ่งเขาแบ่งเรา อย่างการเมืองเก่าทำ
การเมืองเป็นเรื่องของประชาชนที่โหวตเลือกได้เพียงหมายเลขเดียว
เมื่อนักการเมืองมีปัญหากัน จบด้วยการยุบสภา ภาระค่าจัดการเลือกตั้งเกือบ 10,000 ล้าน มาจากภาษีของประชาชน ไม่ใช่ของถูกของฟรี
การยุบสภาครั้งนี้หาใช่เกิดจากระบบประชาธิปไตยในสภา
แต่เกิดจาก 2 พรรค คือ น้ำเงินกับส้มไปร่วมจับมือแล้วแตกคอกันเองจนเลิกคบกัน นำไปสู่การเลือกตั้งใหม่
ใครผิดใครถูกไปว่ากันที่ผลการเลือกตั้ง
ผมขอทำหน้าที่ การเมืองภาคประชาชน ในช่วงนี้
เมื่อวันนี้มีโอกาสพบโรม และไอซ์ ในระยะเวลาสั้นๆ ต่อหน้าสื่อมวลชนจำนวนมาก
ย่อมนำมาถึง ความเข้าใจ สื่อความหมายที่พวกเขายอมรับฟัง
ถือเป็น นักการเมืองรุ่นใหม่ ที่เราฝากความหวังในอนาคต และมีอีกหลายพรรคที่เสนอตัวให้ประชาชนเลือก
ผมจึงยืนยันว่าการวิพากษ์วิจารณ์เป็นสิทธิของประชาชนต่อนักการเมือง
ยิ่งช่วงนี้นักการเมืองยิ่งต้องฟังเสียงประชาชนให้มาก เป็นการสื่อสารสองทาง
ดังนั้นเมื่อสื่อมวลชนให้ พรรคการเมือง มาดีเบตบนเวทีแสดงวิสัยทัศน์
ก็ควรให้ประชาชนมาแสดงความเห็นว่านโยบายของใครดีไม่ดีอย่างไร?
แน่นอนตอนนี้นโยบายอะไรที่ติดไว้บนเสาไฟฟ้าก็ดูสวยหรูไปหมด
แต่คนที่ทำได้ย่อมต้องเป็น รัฐบาล เท่านั้น
ส่วน ฝ่ายค้าน ทำหน้าที่ได้แค่ตรวจสอบ
อย่าไปหลงกลให้ฝ่ายรัฐบาลไปเรียกว่าเป็น ฝ่ายค้ำ แทน ฝ่ายค้าน อีกแล้วกัน
อย่างนี้ผมก็น้อยใจเหมือนกันในฐานะ ด้อมส้มแก่