เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2568 มีรายงานว่า The Diplomat สื่อด้านการเมืองระหว่างประเทศรายงานบทความหัวข้อ กัมพูชากำลังประเมินความเสียหายจากความขัดแย้งชายแดนกับไทย ถือเป็นหนึ่งในสื่อต่างชาติสำนักแรกที่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความสูญเสียทางทหารของกัมพูชา จากสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนที่ยืดเยื้อกว่า 2 สัปดาห์
จากรายงานระบุว่า ฝ่ายไทยใช้ปฏิบัติการทางอากาศ ขณะที่กัมพูชาตอบโต้ด้วยการยิงจรวด BM-21 ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก แม้รัฐบาลกัมพูชาจะยังไม่เปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดพระวิหารซึ่งเป็นแนวหน้าติดชายแดนไทย
แหล่งข่าวด้านสาธารณสุขในจังหวัดพระวิหารเปิดเผยกับ The Diplomat ว่า ตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค. มีทหารและตำรวจชายแดนกัมพูชาบาดเจ็บแล้วมากกว่า 400 นาย และเสียชีวิตอย่างน้อย 13 นาย จากการสู้รบในพื้นที่ดังกล่าว แม้กองทัพกัมพูชาจะมีคำสั่งเข้มงวด ห้ามเผยแพร่ข้อมูลที่อาจกระทบ ความลับทางทหาร ก็ตาม
บทความฉบับนี้ยังชี้ให้เห็นถึงความไม่สมดุลทางกำลังรบ โดยกองทัพไทยมีขนาดและศักยภาพทางอากาศเหนือกว่า ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นเหตุผลในการกล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่าย รุกราน ขณะเดียวกัน ไทยยอมรับการสูญเสียกำลังพล 23 นาย นับตั้งแต่การปะทะเริ่มต้นใหม่หลังข้อตกลงหยุดยิงล่มเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความขัดแย้งดังกล่าวยิ่งตอกย้ำแรงกดดันภายในกัมพูชา ทั้งเศรษฐกิจที่เปราะบาง หนี้ครัวเรือนสูง การว่างงาน และการย้ายถิ่นทำงานจำนวนมาก รวมถึงปัญหาหนี้สินเชื่อรายย่อยที่ถูกยืดเวลาผ่อนผันจนถึงปี 2026 นอกจากนี้ ชาวกัมพูชากว่าครึ่งล้านคนต้องอพยพไปอยู่ค่ายผู้พลัดถิ่นตามแนวชายแดน
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ดังกล่าวยังส่งผลต่อภาคท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ โดยก่อนหน้าการปะทะ กัมพูชาถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรกลุ่มชนชั้นนำและธุรกิจที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายสแกมเมอร์ ขณะที่ไทยได้โจมตีกาสิโนและพื้นที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติในเขตชายแดน โดยยืนยันว่ามุ่งทำลายโครงข่ายผิดกฎหมายที่ถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการ
ทางด้านกองทัพกัมพูชา ยังคงไม่เปิดเผยข้อมูลผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ มีเพียงแถลงการณ์ผ่านเทเลแกรมเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. ระบุถึงการระดมยิงฝั่งไทยในพื้นที่ปอยเปต ท่ามกลางความกังวลว่าความตึงเครียดอาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดน ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหวต่อรัฐบาลพรรค CPP ที่ปกครองประเทศมายาวนาน
นักวิชาการหลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า การคลี่คลายสถานการณ์จำเป็นต้องมีบทบาทจากนานาชาติ ทั้งการตรวจสอบการถอนกำลัง ตั้งเขตกันชน และมีกลไกป้องกันเหตุบานปลาย โดยมองว่าจีนอาจอยู่ในสถานะที่ช่วยประสานได้มากขึ้น แม้ที่ผ่านมาให้ความสำคัญกับเสถียรภาพมากกว่าการแสดงบทบาทนำ
ทั้งนี้ รายงานสรุปว่า แม้รัฐบาลกัมพูชายังคงควบคุมสถาบันหลักและกลไกรักษาความมั่นคง แต่แรงกดดันที่สะสมจากความขัดแย้งชายแดน เศรษฐกิจ และความตึงเครียดทางสังคม อาจค่อย ๆ กระทบเสถียรภาพในระยะยาว หากไม่สามารถเดินหน้าสู่กระบวนการเจรจาและหยุดยิงที่ยั่งยืนได้