วันที่ 17 ธันวาคม 2568 จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดฉะเชิงเทรา พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว หลังได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเมื่อวานนี้ โดยระบุว่า
ผมได้รับการประกันตัวออกมาในช่วงเวลาประมาณ 15.00 น. และเพิ่งได้เห็นพาดหัวข่าวบางส่วนซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน
โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการปลอมเอกสาร
วันนี้ศาลมีคำพิพากษาว่าผมไม่ได้เป็นผู้ปลอมแปลงเอกสาร
สรุปคำพิพากษาเท่าที่ผมจำได้ มีสาระสำคัญดังนี้
1. ศาลมีคำสั่งยกฟ้องในข้อหาปลอมแปลงเอกสาร
2. ศาลพิพากษาว่ามีความผิดในข้อหาใช้เอกสารปลอม โดยให้เหตุผลว่าการกระทำของจำเลยส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศชาติและประชาชน จึงสั่งลงโทษจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อเท็จจริงและแนวทางการต่อสู้ทางคดีอีกหลายประเด็นที่ศาลยังมิได้นำขึ้นพิจารณา เช่น
- โจทก์ยื่นฟ้องทั้งที่ยังไม่เคยเห็นใบ สด.43 ของผม
- ผมนำเอกสารดังกล่าวไปใช้แสดงด้วยความเชื่อโดยสุจริตว่าไม่ใช่เอกสารปลอม เนื่องจากได้รับมาจากสัสดีโดยตรง ในสถานที่ราชการและในเวลาราชการ อีกทั้งตลอดระยะเวลา 13 ปีจนถึงปัจจุบัน ผมไม่เคยถูกกองทัพแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาไม่ไปรายงานตัวหรือหนีทหารเลย หากเอกสารฉบับนี้เป็นของปลอม ผมควรต้องมีความผิดในปีถัดมาแล้ว นอกจากนี้ ลายเซ็นของเจ้าหน้าที่ในใบ สด.43 ของผม ยังเป็นลายเซ็นเดียวกันกับที่ปรากฏในเอกสารต้นขั้วซึ่งกองทัพนำมาแสดงเอง สำหรับผม เอกสารฉบับนี้จึงเป็นของจริงอย่างไม่ต้องสงสัย
- เมื่อศาลยกฟ้องข้อหาปลอมแปลง และผมไม่ได้เป็นผู้ปลอมเอกสาร เอกสารดังกล่าวก็ควรถือว่าเป็นของจริง
- โจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเอกสารของผมเป็นของปลอมด้วยวิธีใด และไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้ปลอม
- โจทก์เพียงอธิบายขั้นตอนการออกใบ สด.43 และสรุปว่ากรณีใดก็ตามที่อยู่นอกเหนือขั้นตอนดังกล่าวถือว่าเป็นเอกสารปลอม โดยไม่รับฟังข้อเท็จจริงอื่น
- ศาลอ้างว่าผมเคยเป็นกรรมาธิการทหาร จึงควรมีความรู้ด้านกฎหมายและทราบว่าเอกสารเป็นของปลอม ทั้งที่กรรมาธิการทหารไม่ใช่เจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติงานอยู่ในระบบระเบียบและกระบวนการภายในของกองทัพ
- ในเมื่อผมไม่ได้เป็นผู้ปลอมเอกสาร และไม่ได้เป็นสัสดี ผมจะสามารถแยกแยะได้อย่างไรว่าเอกสารใดเป็นของปลอมหรือของจริง
- ผมไม่มีความจำเป็นใดที่จะนำเอกสารราชการปลอม ซึ่งไม่ได้มีผลทางกฎหมายแล้ว ไปใช้เพื่อแสวงหาประโยชน์อื่น
- การใช้เอกสารที่ไม่มีผลทางกฎหมายใด ๆ แล้ว กลับถูกลงโทษจำคุกถึง 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ผมเห็นว่าเป็นโทษที่รุนแรงและไม่ได้สัดส่วน
ข้อสังเกตเพิ่มเติมในชั้นไต่สวน
- หลักฐานเอกสารที่กองทัพนำมาใช้ ส่วนใหญ่เป็นเอกสารที่ถูกทำลายแล้ว โดยมีการเจาะรูขนาดใหญ่ตรงกลางเอกสาร
- ภาพที่กองทัพใช้เป็นพยานหลักฐาน เป็นภาพจาก TikTok ของนายทันกวิน ซึ่งเคยอัดคลิปโจมตีผมจำนวนมาก และบุคคลดังกล่าวยังเป็นผู้คัดค้านการประกันตัวผมในทุกคดี - ประวัติอาชญากรรมในคดีไม่ไปรายงานตัวเมื่อ 13 ปีก่อน ซึ่งโจทก์นำมาใช้เป็นหลักฐาน มีข้อความระบุว่า เป็นมติให้เก็บไว้ใช้เพื่อประโยชน์ในราชการ โดยลงวันที่ก่อนผมถูกฟ้องร้อง 8 เดือน และในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ยังมีการขอคัดสำเนาคำพิพากษาในคดีไม่ไปรายงานตัวดังกล่าวจากศาลฉะเชิงเทรา โดยปลัดอำเภอและสารวัตร สภอ.บางปะกง โดยไม่ทราบวัตถุประสงค์
- นายทหารพระธรรมนูญยศพันโท ซึ่งได้รับคำสั่งให้ดำเนินคดีกับผม ใช้ภาพจากรายการ politic ที่ผมให้สัมภาษณ์เป็นหลักฐาน โดยมีบางช่วงที่ผมหยิบเอกสารออกจากกระเป๋าเสื้อและถือไว้ในมือ จากนั้นได้ซูมภาพไปยังร่องนิ้วมือของผม และอ้างว่าเห็นหมายเลขลำดับเอกสารซึ่งไม่ตรงกับต้นขั้วที่ชื่อนวรินทร์ จึงสรุปว่าเอกสารเป็นของปลอม
- ผมได้พยายามตรวจสอบคลิปดังกล่าวแบบ frame by frame อย่างน้อย 3 ครั้ง แต่ก็ไม่พบตัวเลขตามที่ถูกกล่าวอ้างอย่างชัดเจน
- สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุด คือความมุ่งมั่นและพยายามอย่างยิ่งของนายทหารยศพันโทผู้นี้ในการหาหลักฐานเพื่อเอาผิดผมให้ได้
จากข้อสังเกตทั้งหมด ผมรู้สึกว่าตนเองถูกกลั่นแกล้งจากรัฐไทยในหลายหน่วยงาน ซึ่งมีการดำเนินการเป็นขบวนการและมีแบบแผน โดยมีฝ่ายความมั่นคงเป็นแกนหลัก
ผมตระหนักดีว่าวันนี้ผมได้เรียนรู้ถึงความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งผมก็ได้รับผลของการกระทำนั้นไปแล้ว จากการถูกสังคมตั้งคำถาม และจากถ้อยคำวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงที่บางคนใช้กับผม สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงที่ผมไม่อาจปฏิเสธได้ และจำเป็นต้องยอมรับพร้อมอดทนต่อไป
แต่สำหรับคดีนี้ ซึ่งผมเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นคดีการเมือง ทั้งในกระบวนการฟ้องร้องและคำพิพากษาที่ออกมา ผมจึงจำเป็นต้องเดินหน้าต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมต่อไป