เมื่อวันที่ 18 พ.ย. เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ศาลภาษีอากร อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีที่ นายทักษิณ ชินวัตร โดยนายสมบูรณ์ คุปติมนัส ผู้รับมอบอำนาจช่วง โจทก์ ยื่นฟ้องกรมสรรพากร จำเลยที่ 1, นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ จำเลยที่ 2, นายประภาส สนั่นศิลป์ จำเลยที่ 3 และนายพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์ จำเลยที่ 4 ขอให้ศาลภาษีอากรกลางเพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) เลขที่ ภงด.12-03025250-25600328-001-00005 ลงวันที่ 28 มี.ค.2560 ที่แจ้งให้นายทักษิณจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาท (ภาษี, เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม) ให้กับกรมสรรพากร
คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้ปลดและยกเลิกหรือเพิกถอนการประเมินของจำเลยที่ 1 ตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) ไม่ระบุเลขที่ใบแจ้ง ลงวันที่ 28 มีนาคม 2560 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เลขที่ สภ.3 (อธ.3)/309/2563 ลงวันที่ 25 เมษายน 2560 งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษา ให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) เลขที่ ภงด.12-03025250–25600328-001-00005 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2560 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ สภ.3 (อธ.3)/309/2563 ลงวันที่ 25 เมษายน 2560 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยทั้งสี่ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยแยกเป็นประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่ 1 ศาลฎีกาต้องส่งคำร้องของโจทก์ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร เห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2551 เคยวินิจฉัยไว้แล้วว่า ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขฯ มิได้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ดังนั้น การที่โจทก์ขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขฯ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ในบทมาตราที่มีลักษณะเดียวกัน จึงเป็นการร้องขอในเรื่องลักษณะเดียวกันกับที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยไว้แล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรจะส่งคำร้องของโจทก์ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ประเด็นที่ 2 เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ออกหมายเรียกโดยชอบด้วยกฎหมายและภายในกำหนดเวลาตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 หรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร เห็นว่า นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาซึ่งเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากการซื้อขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 797
เมื่อเจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อในใบหุ้นอันเป็นหนังสือสำคัญโดยไม่ทราบมาก่อนว่านายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาถือหุ้นแทนโจทก์ ประกอบกับภายหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่าโจทก์ยังคงถือไว้ซึ่งหุ้นของบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) โจทก์จึงอยู่ในฐานะเป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อที่ยอมให้นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาซึ่งเป็นตัวแทน แสดงออกหน้าเป็นตัวการซื้อขายหุ้น เมื่อคดีนี้โจทก์ได้กลับแสดงตนให้ปรากฏว่าตนเป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริงแล้ว นิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นดังกล่าวของนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาย่อมผูกพันโจทก์ในฐานะตัวการ ดังนั้น เมื่อเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ออกหมายเรียกนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาซึ่งเป็นตัวแทนโจทก์ภายใน 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์ยื่นรายการ จึงถือได้ว่าออกหมายเรียกโดยชอบด้วยกฎหมายและภายในกำหนดเวลาซึ่งย่อมมีผลผูกพันโจทก์ในฐานะตัวการ เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 มีอำนาจประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโจทก์ได้โดยไม่ต้องออกหมายเรียกโจทก์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 อีก
ประเด็นที่ 3 โจทก์เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร และต้องรับผิดชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร เห็นว่า เงินได้พึงประเมินตามความหมายในประมวลรัษฎากร มาตรา 39 ไม่ได้หมายถึงเฉพาะเงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีในหมวดเท่านั้น แต่หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงินด้วย เมื่อนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ซื้อหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) มาจากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จำกัด ในราคาหุ้นละ 1 บาท รวมกัน 329,200,000 หุ้น ในขณะที่ในวันดังกล่าวหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) มีราคาซื้อขายตามกระดานซื้อขายหุ้นรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หุ้นละ 49.25 บาท และในวันเดียวกันนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาขายหุ้นดังกล่าวให้แก่กลุ่มเทมาเส็กในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในราคาหุ้นละ 49.25 บาท
เมื่อไม่มีเหตุผลอันใดที่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จำกัด จะยอมขายหุ้นให้นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดถึงสี่สิบเท่า พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเงินได้พึงประเมินเกิดขึ้นจากธุรกรรมการขายหุ้นดังกล่าวแล้ว จึงก่อให้เกิดสิทธิแก่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ในการออกหมายเรียกนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทามาไต่สวนและประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนั้น พฤติการณ์ของโจทก์ในฐานะตัวการไม่เปิดเผยชื่อย่อมต้องผูกพันต่อการออกหมายเรียกและการออกหนังสือแจ้งการประเมินภาษีของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 มีสิทธิบังคับโจทก์ผู้เป็นตัวการให้รับผิดในหนี้ภาษีอากรที่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาในฐานะตัวแทนทำขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820 พยานหลักฐานจำเลยทั้งสี่มีน้ำหนักให้รับฟังมากกว่าพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์มีเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2549 จำนวน 15,883,900,000 บาท เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 มีอำนาจเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ถูกต้องครบถ้วนได้ การประเมินภาษีชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังขึ้น
ประเด็นที่ 4 กรณีมีเหตุลดหรืองดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร เห็นว่า การที่โจทก์ให้บุคคลอื่น รวมถึงนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาถือหุ้นแทน เป็นการกระทำที่ขาดคุณธรรมทางภาษีและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย ทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง กรณีจึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ