เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกแถลงการณ์ผ่านสื่อทางการ ประณามการใช้ความรุนแรงของฝ่ายไทยต่อพลเรือนกัมพูชาในหมู่บ้าน เปรยจัน จังหวัดบันเตียเมียนเจย โดยระบุว่า เหตุเกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นวันเดียวกัน ส่งผลให้พลเรือนกัมพูชาได้รับบาดเจ็บ 3 ราย และเสียชีวิต 1 ราย

ฮุน มาเนต ระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักมนุษยธรรม และละเมิดความตกลงร่วมกันในการแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธี โดยเฉพาะข้อตกลงของ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ที่กำหนดให้ทั้งสองฝ่ายคงสภาพพื้นที่ไว้จนกว่าการสำรวจและปักหลักเขตจะแล้วเสร็จ

นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเรียกร้องให้ไทย ยุติการใช้กำลังต่อพลเรือนทันที และขอให้มีการเปิดการสอบสวนอย่างอิสระ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้าร่วม เพื่อค้นหาความจริงและคืนความยุติธรรมแก่ผู้เสียหาย พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและกองกำลังทุกหน่วยเร่งคุ้มครองประชาชนในพื้นที่ชายแดน

ฮุน มาเนต ย้ำว่า กัมพูชายังคงยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี ตามเจตนารมณ์ของ แถลงการณ์ร่วมกรุงกัวลาลัมเปอร์ ที่ผู้นำทั้งสองประเทศได้ลงนามไว้ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 เพื่อมุ่งสู่การยุติความขัดแย้งและสร้างสันติภาพระหว่างกัน

ในวันเดียวกัน พลโทหญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ออกแถลงย้ำว่า ฝ่ายไทยเป็นผู้เปิดฉากยิงก่อน พร้อมกล่าวหาว่าไทย จงใจยั่วยุและสร้างความตึงเครียดบริเวณชายแดน โดยระบุว่าการกระทำครั้งนี้เป็นการละเมิดข้อตกลงสันติภาพที่เพิ่งลงนาม โดยมี ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา และ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ร่วมเป็นสักขีพยาน

อย่างไรก็ตาม ฝั่งไทยได้ออกมาชี้แจงผ่าน พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ว่า จากรายงานของกองกำลังบูรพา พบว่าเป็น ฝ่ายทหารกัมพูชาที่ใช้อาวุธปืนยิงเข้ามายังฝั่งไทยก่อน บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ฝ่ายไทยจึงยิงตอบโต้ตามกฎการใช้กำลังเพื่อป้องกันตนเอง เหตุการณ์ยืดเยื้อราว 10 นาที ก่อนจะสงบ ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตทางฝั่งไทย

สถานการณ์บริเวณชายแดนขณะนี้ยังอยู่ภายใต้การจับตาอย่างใกล้ชิดของทั้งสองรัฐบาล ท่ามกลางความกังวลว่า เหตุปะทะครั้งนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนใหม่ของความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา

ชมคลิป