เจอของจริง! อดีตผู้พิพากษาอาวุโส เปิดข้อกฎหมาย เคลียร์ปมสิทธิ กรณี สว.อังคณา
ข่าวการเมือง

เจอของจริง! อดีตผู้พิพากษาอาวุโส เปิดข้อกฎหมาย เคลียร์ปมสิทธิ กรณี สว.อังคณา

เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2568 นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ออกมาเคลื่อนไหวต่อกรณีของสว.อังคณา ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีการเปิดเสียงลำโพงบริเวณพื้นที่ชายเเดนไทย-กัมพูชา เเละมีได้มีการพาดพิงไปถึงตนด้วยนั้น ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว วัส ติงสมิตร โดยระบุว่า ตามโพสต์ ของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว ใน Facebook

ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 ที่รัฐสภา นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ผู้เขียนออกมาระบุในบทความว่าการเปิดเสียงผีหลอนชายแดน ไม่เข้าข่ายทรมานทางจิตใจ บางคนตัวเป็นไทย ใจเป็นเขมร ว่า สำหรับท่านที่ไม่เข้าใจเรื่องกฎหมายสิทธิมนุษยชนเว่าด้วยการทรมานทางจิตใจ ตนอยากจะแนะนำให้อ่านรายงานของผู้แทนพิเศษแห่งสหประชาชาติด้านการต่อต้านการทรมานเมื่อปี 2563 ซึ่งมีการพูดถึงเรื่องนี้โดยตรง

จริง ๆ แล้ว ในฐานะอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ถือได้ว่าต้องปฏิบัติไม่ใช่แค่กฎหมายในประเทศ แต่ต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีด้วย เพราะยังมีเรื่องการละเมิดสิทธิข้ามพรหมแดน

เมื่อถามว่า ทำไมผู้เขียนจึงออกมาแสดงความเห็นในลักษณะนี้ นางอังคณา กล่าวว่า ไม่เป็นไร ท่านอดีตประธาน ท่านก็เป็นแบบนี้แหละ ท่านคงจำได้ มีอดีต กสม. ทยอยลาออกไปหลายคน จนกระทั่งประธานศาลฎีกาต้องแต่งตั้งคนขึ้นมาใหม่

ผู้เขียนขอชี้แจงต่อข่าวการให้สัมภาษณ์ดังนี้

1)ผู้เขียนแสดงความเห็นในบทความสรุปว่า กรณีส่งเสียงหลอนข้ามพรมแดน แม้จะมีการกระทำโดยเจตนาเพื่อ ทำให้ผู้อื่นตกใจหรือหวาดกลัว แต่หากผู้กระทำไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และผลที่เกิดขึ้นเป็นเพียง ความตกใจ ชั่วคราว ยังไม่ถึงขั้น ทุกข์ทรมานทางจิตใจอย่างร้ายแรง ทั้งไม่มีการกระทำใดๆ โดยมีวัตถุประสงค์ตาม (1) ถึง (4) ของมาตรา 5 ตามกฎหมายไทย หรือข้อ 1 วรรค 1 ของกฎหมายระหว่างประเทศที่ไทยเป็นรัฐภาคี (CAT) กรณีจึงยังไม่ครบองค์ประกอบของการกระทำทรมานตามกฎหมายไทยและตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ไทยเป็นรัฐภาคี ผู้เขียนไม่ได้เขียนว่า กรณีไม่เข้าข่ายทรมานทางจิตใจดังที่มีการให้สัมภาษณ์แต่ประการใด

2) ในบทความของผู้เขียนที่ว่า การที่คนสัญชาติไทยนำข้อความอันเป็นเท็จของทางการกัมพูชาที่กล่าวหาว่า หน่วยทหารแห่งราชอาณาจักรไทยได้กระจายเสียงดังกล่าวมาเผยแพร่ต่อ และอยากฟังว่ารัฐบาลไทยจะชี้แจงเรื่องนี้อย่างไรในเวทีระดับโลกนั้น มีเหตุอันควรสงสัยหรือไม่ว่า ตัวเป็นไทย แต่ใจเป็นเขมร ผู้เขียนระบุแต่เพียงว่า มีเหตุอันควรสงสัยหรือไม่เท่านั้น และไม่ได้ระบุชื่อบุคคลใด ผู้ให้สัมภาษณ์จึงไม่ควรร้อนตัว

3) ผู้เขียนมีความรู้ทางกฎหมายและประสบการณ์การทำงานด้านพิจารณาพิพากษาคดีมา 35 ปี สอนกฎหมายมากว่า 20 ปี มีงานวิจัยด้านสิทธิมนุษยชน ทำหน้าที่ประธาน กสม. มาร่วม 5 ปี และพ้นจากหน้าที่ตามวาระ จึงพอมีความรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนอยู่บ้าง แม้จะไม่มากมายนัก

รายงานของผู้แทนพิเศษแห่งสหประชาชาติด้านการต่อต้านการทรมาน เมื่อปี 2563 ที่คุณอังคณาระบุว่า มีการพูดถึงเรื่องนี้โดยตรงนั้น ปรากฏว่า รายงานฉบับนี้ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการทรมานทางจิตใจ (psychological torture) แนวคิด วิธีการตีความ และการประยุกต์ใช้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รวมถึงประเด็นใหม่ เช่น การใช้เทคโนโลยีหรือสื่อดิจิทัลในการก่อให้เกิด psychological torture การยกเลิกการจำแนกการทรมานทางกายกับทางจิตใจว่าเป็นสิ่งที่ เบา กว่ากัน เป็นต้นเท่านั้น

รายงานฉบับนี้ไม่ใช่คำวินิจฉัยของคณะกรรมการต่อต้านการทรมาน (Committee against Torture - CAT) ซึ่งเคยวินิจฉัยคดีทำนองนี้มาบ้างแล้ว เช่น Israel - Sound Bombs in Gaza and West Bank (2005-2006)

ข้อเท็จจริง เครื่องบินทิ้ง ระเบิดเสียง (sonic booms) เหนือพื้นที่ชุมชนปาเลสไตน์ในเวลากลางคืน โดยไม่มีเหตุผลทางทหารที่ชัดเจน ผล เสียงดังระดับสูงทำให้เด็กและผู้หญิงเกิดอาการช็อก หวาดกลัว และนอนไม่หลับ UN Committee against Torture เห็นว่า การใช้เสียงดังต่อเนื่องเพื่อข่มขวัญประชาชนพลเรือน โดยไม่มีเหตุทางทหารที่จำเป็น อาจถือเป็นการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือถึงขั้นทรมาน

4) เนื้อหาสาระของกฎหมายต่อต้านการทรมานภายในประเทศไทย (พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565) สอดคล้องกับอนุสัญญา CAT อยู่แล้ว เพราะไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญา CAT ซึ่งต้องบัญญัติกฎหมายภายในเกี่ยวกับการต่อต้านการทรมานให้สอดคล้องกับอนุสัญญา CAT เพียงแต่ว่า เมื่อมีข้อพิพาทระหว่างประเทศเกิดขึ้น ก็ต้องใช้กลไกต่างๆ ตามที่กำหนดในอนุสัญญา CAT ซึ่งผู้เขียนได้เขียนในบทความเรื่อง หลักเกณฑ์การร้องเรียน องค์กรผู้วินิจฉัย และการผูกพันตามคำวินิจฉัยคดี CAT เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยาก

5) ส่วนที่คุณอังคณาตอบนักข่าวเมื่อถูกถามว่า ทำไมนายวัสถึงออกมาแสดงความเห็นในลักษณะนี้ นางอังคณากล่าวว่า ไม่เป็นไร ท่านอดีตประธาน กสม. ท่านก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ ท่านคงจำได้นะคะ มีอดีต กสม. ทยอยลาออกไปหลายคน จนกระทั่งประธานศาลฎีกาต้องแต่งตั้งคนขึ้นมาใหม่

(1)ที่คุณอังคณาพูดว่า ผู้เขียนเป็นแบบนี้แหละ เป็นคำพูดที่คลุมเครือ แต่การที่มีอดีต กสม. ทยอยลาออกไปหลายคน ก็เป็นการลาออกตามเหตุผลความจำเป็นของแต่ละคน เพราะกฎหมาย กสม. ใหม่ออกมามีบทเฉพาะกาลให้โละ กสม. ชุดนี้ทิ้งทั้งหมดในขณะที่ทำงานได้เพียง 2 ปี จากวาระ 6 ปี (โดยการเลือกปฏิบัติของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่โละอีก 4 องค์กรอิสระ)

(2) เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งทำหน้าที่รัฐสภาพิจารณาร่างกฎหมาย กสม. ใหม่เสร็จ ได้ส่งให้ กสม. ชุดนี้พิจารณาว่า ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแล้วหรือไม่ ปรากฏว่า มี กสม. บางคนเห็นว่า ตรงแล้ว (หมายความว่าเห็นควรโละ กสม. ชุดนี้ทิ้ง) ภายหลังกฎหมายออกมาใช้บังคับเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2560 กสม. คนที่เห็นว่า ควรโละ กสม. ชุดนี้ทิ้ง กลับไม่ลาออกไป

(3) ระหว่างรอการสรรหาและแต่งตั้ง กสม. ชุดใหม่ มี กสม. คนหนึ่งลาออกไปดำรงตำแหน่งในองค์กรของรัฐอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งมีความมั่นคงและมีค่าตอบแทนที่ดีกว่า กสม. ซึ่งต้องเตรียมพ้นจากหน้าที่เมื่อมี กสม. ชุดใหม่เข้ารับหน้าที่แล้ว

(4) ระหว่างอยู่ปฏิบัติหน้าที่ กสม. บางคนยังขอให้ตนได้รับการคุ้มครองพยานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยได้รับค่าเลี้ยงชีพ ขนาดตนเองยังต้องขอรับการคุ้มครองจากหน่วยงานของรัฐ แล้วจะไปคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนได้อย่างไร

(5) ในการทำงานภายในสำนักงาน กสม. กสม. ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐไทย และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาราชการ มี กสม. บางคนขอใช้ภาษาอังกฤษในเอกสารราชการ ผู้เขียนในฐานะประธาน กสม ยืนยันว่าทำไม่ได้ เรื่องจึงยุติลง

(6) กสม. ที่เห็นด้วยกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้โละ กสม. ชุดนี้ทิ้งได้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปอีก 1 ปีเศษ เพิ่งมาลาออกเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 บางคนลาออกไปเพื่อให้มีสิทธิรับเงินรางวัลหลายล้านบาทในวันที่ 1 สิงหาคม 2562 ทำให้มีกรรมการเหลือเพียง 3 คน ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง (4 คน) จึงเปิดประชุม กสม. เพื่อพิจารณาออกรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน และงานอื่นๆ ไม่ได้ ทำให้งานค้างสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ ตรงตามเป้าหมายของคณะบุคคลที่ต้องการหยุดงานคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เพื่อบีบให้มีการสรรหา กสม.ชุดใหม่ให้เสร็จโดยเร็ว

(7) ส่วนการแต่งตั้งงกรรมการเป็นการชั่วคราวนั้น ก็เป็นหน้าที่ของประธานศาลฎีกาและประธานศาลปกครองสูงสุดร่วมกันแต่งตั้งเมื่อมีผู้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ถึงกึ่งหนึ่ง (4 คน) ตามมาตรา 60 วรรคสามประกอบมาตรา 22 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กสม. พ.ศ. 2560 ไม่ใช่แต่งตั้งโดยประธานศาลฎีกาเพียงคนเดียวดังที่ปรากฏในข่าวให้สัมภาษณ์

เรียบเรียงโดยทีมข่าวสยามนิวส์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง