วันที่ 9 ตุลาคม 2568 ที่รัฐสภา ศนิวาร บัวบาน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แถลงข่าวการยื่นร่าง พ.ร.บ.พื้นที่ชุ่มน้ำ ของพรรคประชาชน โดยกล่าวว่า พรรคประชาชนได้ยื่นร่าง พ.ร.บ.พื้นที่ชุ่มน้ำ เข้าสภาฯ ตั้งแต่วันที่ 2 ต.ค. หลังจบการอภิปรายนโยบายรัฐบาลอนุทิน จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ตอนนี้ โดยเฉพาะในลุ่มน้ำภาคกลาง เช่น อยุธยา อ่างทอง พรรคประชาชนได้เข้าพื้นที่ พบว่าพื้นที่รับน้ำส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น ห้วย หนอง คลอง บึง จึงจัดว่ามีความสำคัญมากในการบรรเทาน้ำท่วม โดยร่างฉบับนี้ได้ผ่านการหารือกับนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านพื้นที่ชุ่มน้ำ ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคประชาสังคม รวมถึงองค์กรพัฒนาระหว่างประเทศ
ศนิวาร กล่าวว่า พื้นที่ชุ่มน้ำ หรือ Wetland หมายถึง แหล่งน้ำ ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น ที่มีน้ำขัง หรือน้ำท่วมอยู่ถาวรและชั่วครั้งชั่วคราว ทั้งที่เป็นแหล่งน้ำนิ่ง น้ำไหล น้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม รวมไปถึงชายฝั่งทะเล และที่ในทะเลในบริเวณซึ่งเมื่อน้ำลดลงต่ำสุด มีความลึกของระดับน้ำไม่เกิน 6 เมตร พื้นที่ชุ่มน้ำนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดน้ำท่วม ยังช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนที่ช่วยลดโลกร้อน มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนสูงกว่าป่าไม้ 5-10 เท่า แต่เกือบ 20 ปีที่ผ่านมา พื้นที่ชุ่มน้ำในไทยมีแนวโน้มลดลงเกือบครึ่ง ที่มีอยู่ก็เสื่อมโทรม สาเหตุจากการถูกแปลงเป็นพื้นที่เพื่อการเกษตร การแผ่ขยายของชุมชนเมือง การสร้างเขื่อนและการจัดการน้ำ มลพิษ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบุกรุกและการใช้ทรัพยากรอย่างไม่ยั่งยืน
แม้ว่าประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ หรือ อนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) ตั้งแต่ปี 2541 แต่จนปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายพื้นที่ชุ่มน้ำโดยเฉพาะ ที่จะอนุวัติการให้สอดคล้องกับอนุสัญญาดังกล่าว ที่ผ่านมาใช้มติ ครม. กฎหมายป่าไม้และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องมาบังคับใช้แทน เช่น พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535, พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 แต่กฎหมายเหล่านี้ยังขาดกรอบและกลไกในการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำซึ่งมีระบบนิเวศที่แตกต่างจากทรัพยากรน้ำสาธารณะทั่วไป ทำให้การพัฒนาพื้นที่ชุ่มน้ำขาดความรอบด้าน พื้นที่ชุ่มน้ำหลายแห่งถูกทำลายลง เช่น เวียงหนองหล่ม จ.เชียงราย ที่ล่มสลายจากโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ นอกจากนี้ การกำหนดและจำแนกประเภทของพื้นที่ป่าไว้หลายรูปแบบ ทำให้มีการประกาศพื้นที่อนุรักษ์ซ้อนทับกันหลายแห่ง ก่อให้เกิดปัญหาด้านการอนุรักษ์และคุ้มครองพื้นที่ชุ่มน้ำ ส่งผลให้ยังมีพื้นที่ชุ่มน้ำอีกหลายแห่งที่มีความสำคัญ แต่ยังไม่ได้รับความคุ้มครอง
ด้วยเหตุนี้ พรรคประชาชนจึงเสนอร่าง พ.ร.บ.พื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อให้ประเทศมีกฎหมายที่สอดคล้องกับการที่เราเป็นภาคีอนุสัญญาแรมซาร์ และเพื่อให้มีระบบการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำตามหลักการของความยั่งยืน อนุรักษ์และยับยั้งการสูญหายของระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำในไทย โดยร่างกฎหมายฉบับนี้จะใช้เป็นกรอบการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งมีกลไกการดำเนินงาน ประกอบด้วย คณะกรรมการพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งชาติ คณะกรรมการพื้นที่ชุ่มน้ำจังหวัด องค์กรชุมชนพื้นที่ชุ่มน้ำท้องถิ่น และกองทุนส่งเสริมอนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ โดยคณะกรรมการพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งชาติ จะมีหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนการอนุรักษ์และส่งเสริมการใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืน รวมถึงจัดทำรายการพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งชาติ
ทั้งนี้ที่ผ่านมา การกำหนด แก้ไขเปลี่ยนแปลง และเพิกถอนเขตพื้นที่ชุ่มน้ำ จะใช้มติ ครม. ซึ่งสามารถทำได้ง่าย แต่ขาดการศึกษาอย่างรอบด้าน ในกฎหมายของพรรคประชาชน จึงให้อำนาจส่วนนี้เป็นของคณะกรรมการพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งชาติ โดยเสนอให้มีองค์ประกอบของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น ด้านธรณีสัณฐานวิทยา อุทกวิทยา มีนวิทยาหรือสัตววิทยา พฤกษศาสตร์ เพื่อให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งต่างจาก คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ภายใต้ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญรายสาขา เช่น เกษตร ผังเมือง สิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรม นอกจากนี้ ในกฎหมายของพรรคประชาชนยังมีรายละเอียดอื่นๆ ที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงกับพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งจะส่งผลให้การบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ผู้สื่อข่าวนครบาล ทีมข่าวสยามนิวส์ รายงาน