วันที่ 12 ธันวาคม 2568 นายปริญญา อินทชัย หรือ เวย์ ไททาเนียม พร้อมนายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความ เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ จารุปรัชญ์ ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.จำนาญ จันทร์เทศ ผกก.4 บก.ปอศ. และพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ หลังถูกออกหมายเรียกตามคดีที่มีผู้เสียหายแจ้งไว้ก่อนหน้านี้ โดยเกี่ยวข้องกับนางไรบีนา อินทชัย หรือ นานา ภรรยา

เมื่อถึงเวลานัดหมาย เวย์ ไททาเนียม เดินทางเข้าด้านหลังอาคารกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ก่อนรีบขึ้นลิฟต์ไปยังชั้น 9 ซึ่งเป็นที่ตั้งของ บก.ปอศ. เพื่อเข้าพบพนักงานสอบสวนทันที

ภายหลังรับทราบข้อกล่าวหา นายสายหยุดเปิดเผยว่า ได้นำลูกความเข้ามาพบพนักงานสอบสวนในข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ จากกรณีนักธุรกิจรายหนึ่งโอนเงินเข้าบัญชีของนายปริญญา จำนวน 10 ครั้ง รวม 14 ล้านบาท ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 โดยผู้เสียหายเข้าใจว่าเป็นการกระทำร่วมกับนางไรบีนา ภรรยา

จากการสอบถามลูกความ ทนายความระบุว่า นายปริญญา ไม่ทราบว่าภรรยามีการติดต่อกับผู้เสียหายให้โอนเงินเข้าบัญชี และรู้เพียงว่าเงินถูกโอนเข้ามาตามที่ภรรยาแจ้ง พร้อมบอกให้นำไปใช้ตามที่ระบุ โดยนายปริญญาไม่ทราบแหล่งที่มาหรือว่ามาจากใคร นอกจากนี้ยังทราบว่าทางภรรยาเคยบอกผู้เสียหายไม่ให้แจ้งเรื่องดังกล่าวต่อนายปริญญา

นายสายหยุดกล่าวต่อว่า นายปริญญาทราบว่ามีปัญหากับผู้เสียหายในช่วงเดือนตุลาคม ก่อนเริ่มทยอยใช้หนี้ในช่วงปลายเดือนตุลาคม จำนวน 1.5 ล้านบาท โดยโอนตรงให้ผู้เสียหาย อีกทั้งยืนยันว่าในการร่วมรับประทานอาหารร่วมกับผู้เสียหาย นางไรบีนา นายปริญญา และนักธุรกิจหลายคน ไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องธุรกิจใดๆ พร้อมยืนยันว่าลูกความไม่ทราบถึงการลงทุน และไม่เคยชักชวนผู้ใดให้ลงทุน

ทนายสายหยุดย้ำว่า ยอดเงิน 14 ล้านบาทในคดีนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับยอด 50 ล้านบาทจากคดีก่อนหน้า ส่วนการชดใช้เงินแก่ผู้เสียหาย ขณะนี้ลูกความทั้งสองคนมีความกังวลเรื่องการจัดหาเงิน เนื่องจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อการทำงาน ถูกยกเลิกงาน และสปอนเซอร์ถอนตัวจากคอนเสิร์ต รวมถึงกระทบต่อราคาขายหุ้นร้านตัดผม จากเดิม 300 ล้านบาท เหลือ 180 ล้านบาท อีกทั้งยังอยู่ระหว่างตรวจสอบรายละเอียดเรื่องบ้านที่กำลังขายว่ามีการติดจำนองกับเจ้าหนี้รายใดหรือไม่

จากการประเมินสินทรัพย์ปัจจุบัน ยังไม่สามารถกำหนดแนวทางการชำระหนี้ได้แน่ชัด โดยยอดความเสียหายที่นางไรบีนาต้องชดใช้ในทุกคดีรวมอยู่ที่ 152 ล้านบาท ซึ่งทนายยืนยันว่าลูกความจะต้องชำระหนี้ทั้งหมดตามจำนวนดังกล่าว