เเรงงานเตรียมเฮ! ครม.ไฟเขียว กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ-สูง มีผล 1 ม.ค. 69 เป็นต้นไป
ข่าวเศรษฐกิจ

เเรงงานเตรียมเฮ! ครม.ไฟเขียว กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ-สูง มีผล 1 ม.ค. 69 เป็นต้นไป

เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2668 น.ส.อัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูง ที่ใช้เป็นฐานคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ตามข้อเสนอของกระทรวงแรงงาน เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจยุคปัจจุบัน หลังจากกฎกระทรวงเดิมซึ่งบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2538 ไม่ทันต่อโครงสร้างค่าจ้างที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รองโฆษกรัฐบาลระบุว่า เดิมเพดานค่าจ้างที่ใช้คำนวณเงินสมทบกำหนดไว้ ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน ทำให้ผู้ประกันตนที่มีรายได้สูงกว่านี้ต้องส่งเงินสมทบเท่ากันทั้งหมด และได้รับสิทธิประโยชน์ไม่สอดคล้องกับรายได้จริง ขณะเดียวกัน ค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบันสูงสุดอยู่ที่ 400 บาทต่อวัน แต่ระบบกลับยังใช้ข้อมูลเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงและไม่เป็นไปตามมาตรฐานองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)

ดังนั้น ร่างกฎกระทรวงฉบับใหม่จึงกำหนดให้มีการ ปรับเพดานค่าจ้าง สำหรับการคำนวณเงินสมทบมาตรา 33 แบบขั้นบันได ดังนี้

ปี 2569-2571 เพดาน 17,500 บาท/เดือน

ปี 2572-2574 เพดาน 20,000 บาท/เดือน

ตั้งแต่ปี 2575 เป็นต้นไป เพดาน 23,000 บาท/เดือน

อัตราเงินสมทบยังคงคิดที่ ร้อยละ 5 เช่นเดิม โดยตัวอย่างในช่วงปี 2569-2571 ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างตั้งแต่ 17,500 บาทขึ้นไป จะต้องส่งเงินสมทบสูงสุด 875 บาทต่อเดือน จากเดิม 750 บาท แต่จะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นในหลายด้าน เช่น เงินลาป่วย เงินทดแทนกรณีเสียชีวิต และเงินชราภาพ

การปรับเพดานครั้งนี้จะช่วยให้กองทุนประกันสังคมมีรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับภาระสิทธิประโยชน์ในระยะยาว ขณะเดียวกัน ผู้ประกันตนจะได้รับความคุ้มครองที่สะท้อนค่าจ้างจริงมากขึ้น ทั้งในส่วนเงินชดเชยรายได้กรณีเจ็บป่วย และเงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต

รองโฆษกรัฐบาลย้ำว่า แม้ภาครัฐจะมีภาระสมทบเพิ่มขึ้นตามเพดานค่าจ้างใหม่ แต่ถือเป็น การลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงระบบประกันสังคมในอนาคต และเป็นผลดีต่อแรงงานไทยในภาพรวมอย่างชัดเจน มาตรการทั้งหมดจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป