เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 สื่อต่างประเทศ ขแมร์ไทม์ส รายงานว่า ราชอาณาจักรกัมพูชาได้ดำเนินการยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการต่อนายซูราบ โปโลลิคาชวิลี เลขาธิการองค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UNWTO) โดยเรียกร้องให้องค์กรดังกล่าวออกแถลงการณ์ประณามปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายไทยที่เพิ่งเกิดขึ้น ซึ่งทางกัมพูชาอ้างว่าได้สร้างความเสียหายอย่างหนักแก่ปราสาทพระวิหาร โบราณสถานสำคัญที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก

หนังสือดังกล่าวลงวันที่ 25 กรกฎาคม โดยนายฮวต ฮัก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวของกัมพูชา แสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ที่ถูกระบุว่าเป็น การรุกรานอย่างจงใจและมีการวางแผนล่วงหน้า จากฝ่ายไทย โดยเฉพาะการใช้อาวุธหนักและการโจมตีทางอากาศโดยเครื่องบินรบ F-16 ซึ่งได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โครงสร้างของปราสาทพระวิหาร โดยเฉพาะบริเวณโกปุระ หรือหอทางเข้าในตำแหน่งที่ 1, 2, 3 และ 5 ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของโบราณสถานดังกล่าว

รัฐมนตรีกัมพูชาเน้นย้ำว่า ปราสาทพระวิหารไม่เพียงเป็นสมบัติล้ำค่าทางวัฒนธรรมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ยังมีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวหลักซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวกัมพูชาและชาวต่างชาติ การโจมตีครั้งนี้จึงถือเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อความพยายามในการส่งเสริมการท่องเที่ยวข้ามพรมแดนอย่างสันติ

ในจดหมาย ยังมีการอ้างถึงอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. 1954 ว่าการโจมตีสถานที่ซึ่งได้รับการคุ้มครองภายใต้อนุสัญญาดังกล่าว ถือเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ พร้อมเรียกร้องให้ UNWTO แสดงจุดยืนร่วมกับกัมพูชาในการประณามการกระทำดังกล่าวในฐานะการทำลายมรดกทางวัฒนธรรมที่ไม่อาจยอมรับได้

กัมพูชายึดมั่นในสันติภาพ ความเคารพในวัฒนธรรม และบทบาทของการท่องเที่ยวในฐานะเครื่องมือเชื่อมความเข้าใจระหว่างชาติพันธุ์และประเทศต่าง ๆ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า UNWTO จะร่วมปกป้องคุณค่าเหล่านี้เคียงข้างเรา ข้อความตอนหนึ่งในหนังสือระบุ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีการปะทะอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา สร้างความวิตกกังวลในระดับนานาชาติ โดยหน่วยงานต่าง ๆ ของกัมพูชา เช่น กระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์ รวมถึงสำนักงานความช่วยเหลือเหยื่อและปฏิบัติการทุ่นระเบิดของกัมพูชา (CMAA) ได้ออกแถลงการณ์แยกประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ องค์การยูเนสโกยังไม่มีถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าวแต่อย่างใด.