เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา เกิดการร้องเรียนกรณีที่ดินของวัดดังในพื้นที่ ต.บางรักใหญ่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี หลุดจำนองไปเป็นของเอกชน หลังอดีตเจ้าอาวาสนำโฉนดที่ดินของวัดไปจำนองกับนายทุนเพื่อกู้เงิน 5 ล้านบาท แต่สุดท้ายไม่สามารถหาเงินมาไถ่ถอนได้ ทำให้ต้องหลุดไปเป็นของนายทุน และภายหลังเจ้าอาวาสรูปดังกล่าวได้ลาออกจากวัดไป

จากข้อมูลของผู้ดูแลวัด ระบุว่าที่ดินผืนนี้เดิมเป็นที่ดินตาบอดติดกับท้ายวัด ขนาดประมาณ 3 ไร่กว่า เดิมวัดใช้เงินที่เหลือจากอดีตเจ้าอาวาสที่มรณภาพไปแล้ว ซึ่งมีอยู่ราว 7 ล้านบาท มาซื้อที่ดินผืนนี้ในราคา 5 ล้านบาทเมื่อปี 2551 เพื่อเตรียมใช้ประโยชน์ในกิจกรรมของวัด ต่อมาได้โอนโฉนดเป็นชื่อพระรูปหนึ่งที่เข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาสแทน แต่ภายหลังกลับนำโฉนดไปจำนองกู้เงิน 5 ล้านบาทออกมาใช้จ่ายในกิจกรรมของวัด กระทั่งปีสุดท้ายได้เปลี่ยนเป็นสัญญาขายฝากและไม่มีเงินไถ่ถอนหรือจ่ายดอกเบี้ย ทำให้ที่ดินตกเป็นของนายทุน

ผู้ดูแลวัดเผยอีกว่า ทราบเรื่องนี้เมื่อตอนที่มีคนมาปักป้ายขายที่ดิน จึงตกใจและพยายามสอบถามอดีตเจ้าอาวาส ซึ่งก็ยอมรับว่าบริหารผิดพลาดและรู้สึกเสียใจ จากนั้นได้ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสไปโดยไม่มีใครติดต่อได้อีก ฝ่ายวัดพยายามติดต่อกับนายทุนเจ้าของที่ดินเพื่อขอซื้อคืนในราคาที่เหมาะสม แต่ถูกปฏิเสธ โดยอีกฝ่ายระบุว่าจะขายคืนให้ในราคาปัจจุบันกว่า 30 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่วัดไม่สามารถจัดหาเงินมาซื้อคืนได้ แม้ว่าจะเคยขอความเห็นใจก็ตาม

ขณะที่เจ้าอาวาสวัดรูปปัจจุบัน เปิดเผยว่าตนเพิ่งมารับตำแหน่งได้เพียง 3 เดือน ก็พบว่าทางวัดมีภาระหนี้สินจำนวนมาก และได้เคยพูดคุยกับเจ้าของที่ดินเพื่อหาทางซื้อคืน แต่เจ้าของยืนยันว่าจะขายคืนในราคาประเมินปัจจุบันคือไร่ละ 10 ล้านบาท รวมทั้งแปลงกว่า 30 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าราคาที่เคยนำที่ดินไปจำนองไว้อย่างมากจนวัดไม่อาจหาเงินมาซื้อกลับมาได้

ส่วนกรณีอดีตเจ้าอาวาสที่นำโฉนดไปจำนอง ทราบว่าได้ทำหนังสือชี้แจงต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแล้ว ก่อนตัดสินใจขอลาออกจากตำแหน่งเองเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ซึ่งปัจจุบันยังคงบวชเป็นพระอยู่ในต่างจังหวัด.