วันที่ 10 กรกฎาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศ CNN รายงานว่า รัสเซียเปิดฉากโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ต่อกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน เป็นคืนที่ 2 ติดต่อกัน โดยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 คน รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจวัย 22 ปี และมีผู้บาดเจ็บกว่า 12 คน ผู้สื่อข่าว CNN ในเคียฟระบุว่า การระเบิดครั้งใหญ่ทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนสว่างไสว ควันหนาทึบปกคลุมพื้นที่ พร้อมกลิ่นไหม้บดบังทัศนวิสัยใจกลางเมือง

ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน เปิดเผยผ่าน Telegram ว่าการโจมตีครั้งนี้กินเวลานานกว่า 10 ชั่วโมง รัสเซียใช้โดรนกว่า 400 ลำและขีปนาวุธ 18 ลูก รวมถึงขีปนาวุธแบบ Ballistic โดยความเสียหายเกิดขึ้นกับบ้านเรือน อาคารที่พัก รถยนต์ โกดัง สำนักงาน และโครงสร้างต่าง ๆ ทั่วกรุงเคียฟ มีคลินิกสุขภาพแห่งหนึ่งเกือบพังทั้งหมดจากแรงระเบิด

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 รัสเซียทำลายสถิติการโจมตีด้วยโดรนด้วยจำนวน 728 ลำและขีปนาวุธ 13 ลูก มากกว่าสถิติเดิมที่ 539 ลำเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม การโจมตีครั้งนั้นทำให้มีพลเรือนเสียชีวิต 1 คนในเขต Khmelnytskyi จากเศษซากโดรน Shahed และมีผู้บาดเจ็บสาหัส 1 คนในเมือง Brovary ใกล้เคียฟ กองทัพอากาศยูเครนรายงานว่าสามารถสกัดโดรนได้ถึง 718 ลำ โดยเป้าหมายหลักอยู่ที่เมือง Lutsk ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ความรุนแรงของเหตุการณ์ถึงขั้นที่กองทัพโปแลนด์ต้องส่งเครื่องบินขึ้นปฏิบัติการในน่านฟ้าตนเองเพื่อป้องกันภัย ด้านประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ระบุว่าการโจมตีครั้งนี้เป็นการก่อการร้ายอย่างชัดเจนจากรัสเซีย พร้อมเรียกร้องให้พันธมิตรระดมทุนเพิ่มสำหรับระบบโดรนสกัดกั้นและระบบป้องกันภัยทางอากาศ แม้จะมีความพยายามเจรจาสันติภาพและหยุดยิง รัสเซียกลับปฏิเสธทุกข้อเสนอ และพันธมิตรจึงต้องกดดันมอสโกให้ยุติสงคราม

ด้านสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความไม่พอใจต่อประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 โดยกล่าวว่า ผมได้รับเรื่องไร้สาระมากมายจากปูติน และวิจารณ์ว่าปูตินดูดีตลอดเวลาแต่สุดท้ายกลับไร้ความหมาย พร้อมให้คำมั่นในวันที่ 7 กรกฎาคม ว่าจะฟื้นฟูความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครน หลังจากที่ทำเนียบขาวระงับการส่งอาวุธบางส่วน รวมถึงขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศ โดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ยืนยันว่ามีการส่งอาวุธป้องกันเพิ่มเติมไปยังยูเครนตามคำสั่งของทรัมป์ แม้ว่ามีแหล่งข่าว 5 คนระบุว่า รัฐมนตรีกลาโหม พีท เฮกเซธ ไม่ได้แจ้งทรัมป์ก่อนอนุมัติการระงับอาวุธดังกล่าว

โฆษกเครมลิน ดมิทรี เปสคอฟ ตอบโต้คำวิจารณ์ของทรัมป์อย่างใจเย็นในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 โดยกล่าวว่าทรัมป์มักใช้ถ้อยคำแข็งกร้าว และมอสโกยังคงหวังที่จะสานต่อการเจรจากับวอชิงตัน ขณะที่นายกรัฐมนตรีเยอรมนีในวันเดียวกันให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนยูเครนต่อไป พร้อมระบุว่าวิธีการทางการทูตในการแก้ไขสงครามได้หมดสิ้นลงแล้ว