
เอกชนลุ้น! ไทยยื่นข้อเสนอใหม่เจรจาสหรัฐฯ หวังดึง ภาษีต่ำสุด
วันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ หลังจากเมื่อช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา 5-6 กรกฎาคม ทีมนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เดินทางไปเจรจากับทางสหรัฐฯ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป ภายหลังจากนั้น ทีมเจรจาของนายพิชัยฯ ได้กลับมาปรับแผนและจัดทำข้อเสนอใหม่ ก่อนจะส่งเอกสารไปให้สหรัฐฯ ในวันอาทิตย์ 6 กรกฎาคม ซึ่งคาดว่าสหรัฐฯ จะได้รับเอกสารฉบับดังกล่าวในวันนี้ 7 กรกฎาคม
ดร.พจน์ อธิบายว่า แผนการนำเสนอของไทยครอบคลุมการนำเข้าสินค้าหลายประเภทจากสหรัฐฯ ไม่ได้จำกัดเพียงแค่สินค้าเกษตรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสินค้าจำเป็นอื่นๆ เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง โดยย้ำว่าการนำเข้าสินค้าเกษตรนั้นเป็นหมวดที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรไทย ขณะเดียวกัน การนำเข้าสินค้าที่ขาดแคลนในประเทศ จะช่วยสร้างสมดุล ลดต้นทุน และในอนาคตอาจจะสามารถนำไปต่อยอดหรือส่งออกไปยังประเทศอื่นได้
สำหรับข้อเสนอใหม่ที่ไทยยื่นให้สหรัฐฯ ดร.พจน์ ระบุว่า ไม่ได้เป็นข้อเสนอที่ทำให้ไทยเสียเปรียบหรือได้เปรียบ แต่เป็นการสร้างความสมดุลทางการค้า เพราะสหรัฐฯ เองก็ต้องการขยายตลาดการส่งออกไปยังทั่วโลก ไม่ได้เน้นเฉพาะประเทศไทยเพียงประเทศเดียว
ดร.พจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ยังต้องรอดูข้อตกลงของประเทศเพื่อนบ้านที่ยื่นข้อเสนอให้นำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ในอัตราภาษี 0% ทุกชนิด ซึ่งน่าจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ประเทศเหล่านั้นตัดสินใจแบบนั้น ส่วนของไทยเอง แม้จะไม่สามารถยื่นในลักษณะเดียวกันได้ แต่ก็พยายามกำหนดอัตราภาษีในกรอบที่เหมาะสมและพอจะยอมรับได้
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าสหรัฐฯ อาจปรับขึ้นภาษีเพิ่มเติมกับ 12 ประเทศ ดร.พจน์ เปิดเผยว่า จากข้อมูลที่ทราบ สหรัฐฯ อาจขยายเวลาให้เจรจาถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2568 โดยประเทศที่อยู่ระหว่างการเจรจา เช่น ไทย ญี่ปุ่น อินเดีย มีแนวโน้มจะได้รับการขยายเวลา ส่วน 12 ประเทศที่คาดว่าจะถูกเก็บภาษีเพิ่ม อาจเป็นกลุ่มประเทศที่ไม่มีการเดินหน้าเจรจากับสหรัฐฯ
สำหรับภาษีที่ไทยอาจต้องเผชิญ ดร.พจน์ มองว่า น่าจะอยู่ในกรอบไม่เกิน 20% โดยอัตราต่ำสุดอาจไม่ใช่ 10% เพราะเป็นอัตราฐานที่สหรัฐฯ เรียกเก็บอยู่แล้ว หากสามารถได้อัตราที่ต่ำกว่าก็จะเป็นผลดีต่อไทย ซึ่งเชื่อว่าการส่งออกไปประเทศอื่นๆ ยังคงเดินหน้าต่อได้ตามปกติ และไทยควรเร่งเดินหน้าเจรจากับสหรัฐฯ โดยเร็ว
นอกจากนี้ ดร.พจน์ ยังแสดงความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองของไทยที่ยังขาดเสถียรภาพ และอยากให้รัฐบาลกลับมามีความมั่นคงโดยเร็ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสังคมและเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างจริงจัง
ในประเด็นเศรษฐกิจภายในประเทศ ดร.พจน์ กล่าวถึงภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มมีปัญหา โดยเฉพาะจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้จะมีนักท่องเที่ยวจากกลุ่มอื่นเข้ามา แต่ก็ไม่สามารถชดเชยได้ ทำให้ภาพรวมการท่องเที่ยวยังไม่เติบโตเท่าที่ควร จึงอยากให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหานี้โดยเร็ว
สำหรับภาคการบริโภคในประเทศก็ยังอ่อนแอ ดร.พจน์ มองว่าการเพิ่มเงินเดือนหรือค่าแรงในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน อาจทำให้เกิดปัญหาคนตกงานมากขึ้น จึงอยากให้รัฐบาลเข้ามาดูแล และควรมีการปรึกษาร่วมกับภาคเอกชนเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมต่อไป