สืบเนื่องจาก ผู้เสียหายรายหนึ่งต้องการหางานทำเพื่อหารายได้พิเศษ จึงได้ค้นหาทางออนไลน์ผ่านเฟซบุ๊ก จนได้พบ โพสต์ประกาศรับสมัครงานจึงติดต่อสอบถาม ต่อมาแอดมินได้ให้แอดเพื่อนบนแอปพลิเคชันไลน์ แล้วมีแอดมินคอยสอนขั้นตอนการทำงาน โดยอ้างว่า ผู้เสียหายต้องกดลิงก์ที่แอดมินส่งให้ จากนั้นให้เข้าไปกดถูกใจ กดโพสต์ข้อความ และกดรูปภาพตามที่แอดมินส่ง จากนั้นให้แคปหน้าจอส่งแอดมิน เพื่อรับผลตอบแทนเป็นค่าคอมมิสชัน จำนวน 10 บาท ต่อ 1 ภารกิจ

หลังผู้เสียหายทำภารกิจสำเร็จ ปรากฎว่าผู้เสียหายได้รับเงินค่าตอบแทนจริง ต่อมาแอดมินจึงให้ลงทะเบียนเป็นสมาชิกเว็บไซต์ โดยเมื่อลงทะเบียนเสร็จต้องเติมเงินเพื่อทำภารกิจต่อไป ผู้เสียหายจึงโอนเงินอีกหลายครั้ง ตั้งแต่ยอด 100, 500, 5,000, 15,000 จนถึง 25,000 บาท โดยช่วงหลัง แอดมินอ้างว่าผู้เสียหายกรอกเลขบัญชีธนาคารสำหรับรับโอนค่าคอมมิชชั่นผิดต้องโอนเงินเพิ่มเพื่อปลดล็อคระบบอีก รวมหลงเชื่อโอนเงินไปทั้งหมด 10 ครั้ง รวมเป็นเงินจำนวน 59,100 บาท

จากการสืบสวนและการตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบว่าผู้เสียหายโอนเงินไปยังบัญชีธนาคารจำนวน  5 บัญชี จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่ออออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องได้สำเร็จ

ต่อมา พ.ต.ท.อโนทัย ดียิ่ง รอง ผกก.2 บก.สอท.3 พร้อมด้วย พ.ต.ต.ชัยเมศวร์ เนติวิมลศิลป์ สว.กก.2 บก.สอท.3 ได้ร่วมกันนำกำลังเจ้าหน้าที่ในสังกัดพร้อมหมายจับ ศาลจังหวัดร้อยเอ็ด ที่ จ.15/2568 ลงวันที่ 14 ม.ค.68 เข้าจับกุม น.ส.พรพิมล อายุ 40 ปี หลังหลบหนีมาถือศีลบวชชีอยู่ ณ วัดชื่อดังแห่งหนึ่ง ย่านรามอินทรา กทม. โดยแจ้งข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู้ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”

เบื้องต้น ผู้ต้องหายังคงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยอ้างว่า ตนเองถูกหลอกให้ทำงานออนไลน์เพื่อหารายได้พิเศษ ซึ่งแอดมินที่ตนติดต่อด้วยทางแชทไลน์ แจ้งให้ตนไปเปิดบัญชีธนาคารแล้วส่งสมุดบัญชีไปให้ เพื่อรอรับโอนเงิน ค่าคอมมิชชั่นที่ตนทำงาน ซึ่งตนก็ทำตาม แต่สุดท้ายกลับไม่เคยได้รับผลตอบแทนใดๆ จึงอ้างว่าตนเองก็โดนหลอกเช่นกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมเร่งขยายผลจับกุมผู้ต้องหาในขบวนการรายอื่นๆที่ยังหลบหนีต่อไป

ผู้สื่อข่าวนครบาล ทีมข่าวสยามนิวส์ รายงาน