
แม่หัวหมอสุด ๆ พาลูกตระเวนเข้ารพ. อ้างเป็นภูมิแพ้ รับยาไปขายออนไลน์ต่อ สปสช.ซัดทำลายระบบประกันสุขภาพ
จากกรณีที่เฟซบุ๊กคุณหมอที่ใช้ชื่อว่า อนุชิต นิยมปัทมะ หรือ หมอเอ หมอปอดโคราช ได้โพสต์ภาพยาฉีดพ่นจมูก แก้ภูมิแพ้ Avamys พร้อมกับข้อความว่า มารับยาที่โรงพยาบาล แล้วเอามาโพสต์ขายในเฟซบุ๊ก ทำอย่างนี้ไม่น่ารักเลย นโยบายรัฐประกันสุขภาพ เพื่อป้องกันคนล้มละลายจากการรักษา แต่ไม่ใช่เอามารายได้ ยาฟรี แต่ภาษีเรานะครับ พร้อมติด #กรมบัญชีกลาง #สปสช. #ประกันสังคม
สำหรับเรื่องที่คุณหมอนำมาโพสต์ เนื่องจากการที่มี ประชาชนหลายคนนำยาดังกล่าวโพสต์ขาย ในกลุ่ม คุณแม่โคราช คนแรกโพสต์ภาพยา พร้อมบรรยายว่า แก้ภูมิแพ้ คัดจมูก พ่นได้ 120 ครั้ง มีมาแบ่งปัน ราคา 350 บาท ส่งฟรี
ส่วนอีกคนนำมาโพสต์ขายในกลุ่มเหมือนกัน ระบุว่า ยาพ่นจมูก #Avamys รักษาโรคภูมิแพ้ คัดจมูก แน่นจมูก หายใจไม่ออก พ่นจมูกข้างละ 1 ครั้ง เป็นประจำทุกวัน อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หมดอายุ 02-04-2027 พร้อมระบุราคา 450 บาท ส่งฟรี ไม่มีเก็บปลายทาง
ต่อมา เพจเฟซบุ๊ก Remrin ได้โพสต์ถึงเรื่องนี้ระบุว่า สรุปคือยาพ่นตัวนี้แพงครับ หาค่อนข้างยาก แต่ถ้าจำเป็นก็เบิกได้ เลยมีแม่เด็กหัวหมอ คือลูกเป็นภูมิแพ้จริง ๆ แหละ แต่ลูกได้ยามากพอแล้ว แม่ก็อาศัยช่องโหว่ อย่างตอนนี้มีสิทธิบัตรทอง 30 บาท รักษาทุกที่ด้วย แม่ก็พาลูกเข้ารพ.ใหญ่นู่นนี้ แล้วก็เบิกยามา ยิ่งรพ.บางแห่งเบิกยาได้ที 6 เดือน ก็ 6 กล่อง (แต่ถ้าไม่ตรงสิทธิอาจจะได้ครั้งละ 1200 บาท) ก็เบิกหลาย ๆ ที่ รวม ๆ กัน เดือนนึงได้เป็นลังเลย (สิทธิกรมบัญชีกลางก็มีน่าจะมีทำนะ แต่เห็นว่าตรวจประวัติการเบิกยาละเอียดกว่า เลยไม่แน่ใจว่ามีหลุดมาทำแบบนี้ได้ไหม)
แล้วแม่หัวหมอพวกนี้ ก็เอายาไปแกะฉลากออกหมด แล้วประกาศขายต่อตามกลุ่มแม่และเด็ก หรือที่เจอบ่อยสุดคือกลุ่มภูมิแพ้ครับ นี่แอบเข้าไปส่องนี่ ขายกันฉ่ำมากฟันกำไรเละเทะเลย นี่เป็นอีกช่องโหว่นึงแหละ ที่ทำให้สิทธิบัตรทองหรือ 30 บาท ที่แบกภาระค่าใช้จ่ายหนักมาก ๆ อยู่แล้ว ต้องพังพินาศหนักขึ้นไปอีก ส่วนแม่นั้น สมมติเดือนนึงเบิกมาได้ 30 กล่อง ขายกล่องละ 400 ก็ 12,000 บาท แล้วจ้า แล้วจะบอกว่าพวกนี้ไปทีไม่ได้เบิกแค่ตัวนี้ตัวเดียวนะ มียาอื่น ๆ ด้วย เพราะงั้นรายได้อาจจะมากกว่านี้อีก
ล่าสุด นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ได้ตรวจสอบในระบบของ สปสช.แล้วในช่วงเวลาตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา มี 2 กรณีที่น่าสงสัย รายแรก พบว่า เบิกไป 318 ขวด จาก 118 ครั้ง ใน 31 สถานพยาบาล ส่วนรายที่ 2 เบิกไป 147 ขวด จาก 98 ครั้ง ใน 14 สถานพยาบาล ที่แต่ที่น่าสงสัยคือบุคคลรายที่ 2 นี้ เนื่องจากว่ามีข้อมูลเกี่ยวกับเด็กด้วย เบื้องต้นทราบชื่อ และข้อมูลหมดแล้ว แต่ยังไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียด อยู่ระหว่างตรวจสอบโดยละเอียด ซึ่งทาง สปสช.เอง จะลงไปสอบสวนด้วยตัวเอง และต้องดูว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
ขณะเดียวกัน เคยมีกรณีที่ผู้ป่วยตระเวนไปขอยา และหมอคงเห็นว่าคนไข้มารับยา เราก็ให้ไป แต่ส่วนใหญ่ที่เกิดกรณีแบบนี้ขึ้น จะเป็นในพื้นที่ที่ยังไม่มีการเชื่อมข้อมูลกัน บางครั้งเวลาหมอสั่งยา อาจไม่มีข้อมูลเชื่อมกันว่าบุคคลนี้เคยไปเอายามาแล้ว วันไหน เวลาใด จึงอาจทำให้เกิดแบบนี้ขึ้นได้ ซึ่งสำหรับ กรณีนี้ ทาง สปสช. จะเอาผิดทางกฎหมายสำหรับบุคคลที่กระทำการดังกล่าวอย่างแน่นอน ซึ่งที่ผ่านมาเราเคยดำเนินการไปแล้ว 3 กรณีในฐานฉ้อโกง ซึ่งเอาผิดจนถึงที่สุด และ 3 กรณีได้ติดคุกไปแล้วด้วย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลกระทบกับระบบประกันสุขภาพอย่างแน่นอน แม้ว่าจะเกิดขึ้นบ้างประปราย และจากนี้เราคงต้องเข้มเรื่องการตรวจสอบมากยิ่งขึ้น เดิมทีเรื่องระบบของการตรวจสอบเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์อยู่แล้ว แต่จากนี้จะต้องมีการตั้งค่า เมื่อมีการมากเบิกยา และหากเบิกมากเกินจำนวนที่กำหนด ต้องเรียกข้อมูลมาตรวจสอบแบบทันท่วงที ซึ่งเดิมทีเรามีระบบนี้อยู่แล้ว แต่บางครั้งทาง รพ.เอง อาจจะนัดคนไข้นาน จึงอาจให้ยากลับไปเป็นจำนวนมากก็มี ดังนั้น ต้องดูเรื่องความเหมาะสมด้วย
นพ.จเด็จ ฝากทิ้งท้ายว่า ไม่อยากให้ทำแบบนี้ เพราะนอกจากจะทำลายระบบแล้ว ยังมีปัญหาทางคดีด้วย และหากมองอีกด้าน คือ ด้านทรัพยากร หากไม่ทำแบบนี้ เราก็จะมีทรัพยากร มียาให้ผู้ป่วยหรือคนอื่นๆเมื่อมีความจำเป็นด้วย และไม่ควรทำให้ราชการเสียงบประมาณโดยไม่จำเป็น