เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2568 (ตามเวลาท้องถิ่น) สำนักข่าว CNA รายงานว่า โดรนของรัสเซียจำนวน 2 ลำ ได้โจมตีขบวนรถไฟที่จอดอยู่ภายในสถานีในแคว้นซูมี ทางตอนเหนือของยูเครน เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บกว่า 30 ราย พร้อมสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อขบวนรถไฟโดยสารหลายตู้
นายอันดรี ไซบีฮา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของยูเครน กล่าวหาว่ารัสเซียจงใจโจมตีรถไฟโดยสาร พร้อมระบุว่า เหตุการณ์นี้เป็นการใช้ยุทธวิธีที่เรียกว่า การโจมตีซ้ำสอง (double tap) ซึ่งการโจมตีครั้งแรกมุ่งเป้าไปยังเป้าหมายหลัก และการโจมตีครั้งที่สองพุ่งเป้าใส่เจ้าหน้าที่กู้ภัยและประชาชนที่กำลังอพยพออกจากพื้นที่
ด้านนายโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ประณามเหตุการณ์นี้ว่าเป็น “การโจมตีอันป่าเถื่อน” โดยได้โพสต์คลิปวิดีโอผ่านแอปพลิเคชันเทเลแกรม แสดงภาพตู้โดยสารรถไฟที่ถูกเพลิงลุกไหม้และตู้โดยสารอื่นที่ได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด พร้อมระบุว่า รัสเซียรู้ดีว่ากำลังโจมตีพลเรือน และนี่คือ การก่อการร้ายที่โลกไม่ควรเพิกเฉย
ขณะเดียวกัน นายโอเลห์ ฮรีโฮรอฟ ผู้ว่าการแคว้นซูมี เปิดเผยว่ามีผู้บาดเจ็บ 8 รายอาการสาหัส ต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาอย่างเร่งด่วน
ตลอดช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา รัสเซียได้เพิ่มการโจมตีทางอากาศต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านการรถไฟของยูเครนอย่างต่อเนื่อง โดยมีการโจมตีเกิดขึ้นเกือบทุกวัน แม้ทางการรัสเซียจะยืนยันว่าไม่ได้มุ่งเป้าหมายไปที่พลเรือน แต่ตั้งแต่เริ่มสงครามในปี 2565 มีพลเรือนเสียชีวิตไปแล้วหลายหมื่นคน
นายโอเลกซานเดอร์ เพิร์ตซอฟสกี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทรถไฟแห่งชาติยูเครน ให้ข้อมูลกับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า โดรนของรัสเซียเจาะจงโจมตีไปที่หัวรถจักร ซึ่งทำให้ตู้โดยสารที่เชื่อมต่ออยู่ได้รับความเสียหายตามไปด้วย โดยระบุว่าขบวนรถที่ถูกโจมตีเป็นทั้งรถไฟโดยสารท้องถิ่นและรถไฟที่กำลังมุ่งหน้าไปยังกรุงเคียฟ
เพิร์ตซอฟสกีกล่าวเพิ่มเติมว่า รัสเซียกำลังพยายามทำให้พื้นที่แนวหน้าและพื้นที่ชายแดนของยูเครนไม่ปลอดภัย เพื่อให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว ไม่กล้าเดินทางโดยรถไฟ ไม่กล้าไปตลาด รวมถึงทำให้นักเรียนรู้สึกไม่ปลอดภัยในการกลับบ้าน