วันที่ 7 กันยายน 2568 มีรายงานจากกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ว่า ศาลแขวงแลปแลนด์มีคำพิพากษาให้จำคุก นายเวอร์นู วาซุนตา ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของบริษัทเคียนตามา หนึ่งในบริษัทเบอร์รีรายใหญ่ของประเทศ เป็นเวลา 3 ปี 6 เดือน พร้อมห้ามประกอบธุรกิจจนถึงปี 2572 จากความผิดฐาน ค้ามนุษย์ร้ายแรงรวม 62 กระทง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการแสวงหาผลประโยชน์จากแรงงานไทยหลายสิบคน ในการพิจารณาคดีเดียวกัน นางสาวกัลยากร ชาวไทย ซึ่งถูกระบุว่าเป็น ผู้สมรู้ร่วมคิด ก็ถูกศาลตัดสินจำคุกเป็นเวลา 3 ปี ด้วยข้อหาค้ามนุษย์เช่นกัน
นอกจากนี้ ศาลมีคำสั่งให้ บริษัทเคียนตามา นายวาซุนตา และนางสาวกัลยากร ร่วมกันจ่าย เงินชดเชยรวมมากกว่า 600,000 ยูโร (ประมาณ 22 ล้านบาท) ให้กับแรงงานชาวไทยที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำดังกล่าว รวมถึงค่าใช้จ่ายทางกฎหมายและการพิจารณาคดี
คดีนี้มีจุดเริ่มต้นจากกรณีที่ แรงงานชาวไทยจำนวนมากถูกว่าจ้างให้เดินทางไปเก็บเบอร์รีในฟินแลนด์เมื่อปี 2565 โดยได้รับข้อมูลหลอกลวงเกี่ยวกับรายได้และสภาพความเป็นอยู่ เมื่อเดินทางถึงประเทศฟินแลนด์ แรงงานต้องเผชิญกับสภาพการทำงานที่เข้าข่ายการบังคับใช้แรงงาน
แรงงานแต่ละคนถูกกำหนดเป้าหมายให้เก็บผลเบอร์รีปริมาณ 2,400–4,000 กิโลกรัม ภายในฤดูเก็บเกี่ยวระยะเวลา 10 สัปดาห์ แต่หลังจากหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าที่พัก และค่ายานพาหนะ รายได้สุทธิจึงเหลือเพียงไม่กี่ร้อยยูโร หัวหน้างานได้ยึด หนังสือเดินทางของแรงงานไว้ และแรงงานหลายคนยังถูกบังคับให้ลงนามใน สัญญากู้ยืมเงิน ก่อนเดินทาง ทำให้ต้องพึ่งพาบริษัทในด้านการเงินและการเดินทางโดยสิ้นเชิง อีกทั้งยัง ไม่ได้รับสิทธิในการจำหน่ายผลเบอร์รีด้วยตนเอง
คำตัดสินของศาลในครั้งนี้ซึ่งมีมติเป็นเอกฉันท์ ส่งผลให้หน่วยงานภาครัฐและสังคมในฟินแลนด์กลับมาตรวจสอบ ระบบแรงงานตามฤดูกาลและช่องโหว่ของการจ้างแรงงานต่างชาติในอุตสาหกรรมเบอร์รีอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ ในปี 2565 ศาลฎีกาของฟินแลนด์เคยมีคำพิพากษาให้จำคุก เจ้าของบริษัทเบอร์รีรายหนึ่งเป็นเวลา 1 ปี 10 เดือน ในคดีค้ามนุษย์ ซึ่งนับเป็นหนึ่งในคดีฟ้องร้องผู้ซื้อเบอร์รีครั้งแรกของประเทศ ต่อมา รัฐบาลฟินแลนด์ได้ดำเนินการปฏิรูประบบในปี 2567 โดยกำหนดให้แรงงานต่างชาติต้องมี สัญญาจ้างงานที่เป็นทางการ และได้รับค่าจ้างตามกฎหมาย
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเบอร์รีป่าของฟินแลนด์อ้างอิงตามหลักการสิทธิของทุกคน (Everyman’s Right) ซึ่งอนุญาตให้บุคคลทั่วไปสามารถเก็บผลไม้ป่าได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าของที่ดิน ยกเว้นในพื้นที่ใกล้เคียงกับที่อยู่อาศัยส่วนบุคคล โดยจนถึงปี 2548 กลุ่มบริษัทเบอร์รีส่วนใหญ่ยังคงใช้แรงงานท้องถิ่น แต่เนื่องจากขาดแคลนแรงงานในประเทศ อุตสาหกรรมจึงหันมาใช้แรงงานต่างชาติเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลัง