วันที่ 19 พ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เข้าพูดคุยกับอาจารย์สกล เกลี้ยงประเสริฐ โค้ชฟุตบอลทีมโรงเรียนหมอนทองวิทยา หลังจากที่มีผู้คนในสังคมต่างสอบถามกันมามาก ว่ายังทำไมให้เด็กหรือนักเตะของโรงเรียนโหนรถขนฝันคันเก่าอยู่ จะเอารถคันเก่าไปสร้างคอนเทนต์อะไรหรือไม่ ซึ่งในตอนนี้มีทั้งสปอนเซอร์มีทั้งแฟนคลับของเราได้มอบเงินมาให้จำนวนหนึ่ง ก็เลยนำไปซื้อรถสองแถวหกล้อคันสีขาวอีกคัน ซึ่งมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าคันเก่า เพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับเด็กๆได้ดีกว่าคันเก่า

เพราะหลังจากนี้ไปเรามีโอกาสเดินทางไปต่างจังหวัดและไกลด้วย โดยไกลสุดที่อยู่ในโปรแกรมการเดินทาง คือ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยอาจจะเป็นช่วงปลายเดือน ม.ค.69 แต่ยังรอความชัดเจนก่อน และทางด้านเหนือสุดที่ติดต่อเข้ามาชัดเจนแล้วนั้น คือ ที่ จ.น่าน และทางภาคอีสานอีกหลายจังหวัดเลย เช่น ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ เราก็ต้องดูแลรถคันที่จะพาเราไป คือ หนึ่งต้องปลอดภัย สองเด็กนั่งได้สบายขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ ส่วนที่สามคือคนขับที่ต้องไม่หลับในก็พอแล้ว
โดยรถคันเก่าใช่ว่าไม่ดีแต่มีปัญหาที่อุปกรณ์จึงสู้ของใหม่ไม่ได้ ไม่ใช่เราจะทิ้งเขาแต่รถคันนี้มันน่าจะเป็นอนุสาวรีย์ หรือพลังแห่งความแรงกล้าของพี่น้องแฟนคลับที่ช่วยกันเชียร์ เราจะสร้างเป็นอนุสรณ์สถานให้เขา ได้เห็นว่านี่คือหากเปรียบเทียบกับหมู่บ้านบางระจัน ก็คือควายตัวหนึ่งที่ขี่หลังแล้วก็ไปทำศึกกับพม่า และได้กลายเป็นตำนานไป ซึ่งก็มีหลายคนนะที่พยายามจะมาประมูลเอารถคันเก่าของเราไป หรือบอกว่าจะขอซื้อได้ไหมในราคาหลักล้านบาท

แต่ว่ายังไงก็ไม่ขาย ให้เท่าไหร่ก็ไม่ขาย เพราะนี่เป็นสัญลักษณ์ทางด้านจิตใจของเรา และก็บรรดาแฟนคลับด้วย แต่หากว่างๆ เราก็จะขับไปให้ท่านดูไปเยี่ยมชมกัน และอาจจะให้พวกท่านที่มีสีเมจิกหรือหมึกอะไรก็แล้วแต่ที่ผมจะให้ท่านเซ็นชื่อกันที่ข้างๆ ตัวรถ ใครอยากเซ็นตรงไหนก็เซ็นไป อยากจะสร้างอะไรที่มีความรู้สึกว่าให้เป็นที่ระลึก อย่างน้อยก็มีรายชื่อของเราอยู่ข้างๆ รถ เวลาไปไหนก็จะได้ไปด้วยกัน ซึ่งก็อยากให้เป็นอย่างนั้น
แต่รถคันที่เพิ่งไปซื้อมานี่ ก็น่าจะไฉไลกว่าคันเดิม และที่ได้มาเพิ่มเติมคือความปลอดภัยที่เด็กจะได้นั่งไป และสะดวกสบายกว่า ไม่ทำให้เด็กทุกข์ระทมมากมายนัก ถึงแม้ว่าจะเป็นรถพัดลม แต่ก็เชื่อว่าเด็กจะอยู่อย่างสบายนั่งก็ได้นอนก็ได้ สุดท้ายคนที่ขับเป็น พขร.ก็คือ อาจารย์สกลคนเดิม จะพาเด็กๆไปสู่เป้าหมายและปลายทางได้อย่างปลอดภัย กลับมาสู่อ้อมอกของพ่อแม่เมื่อแข่งขันกีฬาจบ

ซึ่งรถคันที่ไปซื้อมานั้น ราคาประมาณ 5.5 แสนบาทเป็นรถบรรทุกขนาด 6 ล้อใหญ่กว่าคันเดิมที่มี 4 ล้อรากฐานจึงดีกว่ากันแน่นกว่า และด้านข้างจะมีกระจกปิดได้เวลาฝนตกก็คงไม่มีปัญหา ประตูด้านหลังก็จะสามารถปิดล็อกได้ เด็กก็จะอยู่ภายในได้สบาย ซึ่งสาเหตุที่ต้องซื้อคันใหม่มานั้น เพราะเพื่อความปลอดภัย สุขสบาย และไม่ล้าไม่ยัดเยียด และยังคงเอกลักษณ์สไตล์สองแถวแบบนี้เหมือนเดิม และเราไม่กล้าซื้อรถบัส เช่น รถบัสคันเก่าของโรงเรียนที่เวลาเดินทางไปแล้ว มีปัญหาเรื่องแอร์ และเด็กเปิดกระจกไม่ได้นั่งกันลำบากร้อนกันมากเหงื่อแตก หากจะนำไปซ่อมเขาบอกว่าไม่ต่ำกว่า 4-5 หมื่นบาทก็ไม่ไหว

ส่วนรถบัสไฟฟ้าที่ทางโรงเรียนเพิ่งได้รับมอบมานั้นและไม่ได้ใช้งาน เพราะเป็นเรื่องของสมรรถนะ เขาวิ่งไปได้ประมาณ 60-70 กม.แบตเตอรี่ก็หมด และหากเราไปที่ไหนที่ระยะเกินกว่านั้นถามว่าเราจะไปเติมที่ไหน โดยเฉพาะในต่างจังหวัดนั้นหายากเลย หากสมมุติขับผ่านภูเขาแล้วแบตฯ ไปหมดตรงนั้นจะทำอย่างไร ก็จบกัน และอันดับแรกเลยในขณะนี้ที่จะไปกันไกลที่สุด คือ จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของนักท่องเที่ยว จึงจะไปเยี่ยมพี่น้องชาวภูเก็ตก่อนในวันที่ 10,11,12 ธ.ค.68 นี้ จากนั้นก็จะมีที่หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ด้วย แต่ยังไม่ได้กำหนดวันไป
หลังจากไปทางใต้แล้วประมาณ 7 วันก็จะไปทางเหนือที่ จ.น่าน ตามที่ได้บอกไว้ว่าเมื่อพี่น้องแฟนคลับเขายังมาหาเราได้ นับภาษาอะไรเราจะไปหาเขาไม่ได้นี่คือการตอบแทน คือการแทนคุณที่เราบอกว่าหนึ่งอย่าหลง สองอย่าลืม สามทดแทนบุญคุณ ที่พี่น้องมาจากใต้หรือมาจากที่ไหนกัน มาเชียร์เราจนสนามแตก วันนี้เรามีเวลาว่างเราจะต้องไป เราจะไปหาท่านถึงที่ อย่างน้อยก็ให้คุ้มค่ากับสิ่งที่เราได้มา
ซึ่งรถสองแถวคันใหม่จะตั้งชื่อเป็นรถ “ขวัญใจเยาวชน” และติดสติ๊กเกอร์เป็น “รถสานฝันเยาวชนไทย” ที่ด้านหน้า และติดตราโลโก้ของโรงเรียนที่ประตูรถ ส่วนด้านข้างจะติดป้ายชื่อของโรงเรียนหมอนทอง เพราะจะไปทั่วประเทศทั้งเหนือ ใต้ หรือไปทุกจังหวัดที่เขาอยากจะให้เราไป เพื่อไปทำให้เยาวชนในย่านนั้นเขาสนใจเรื่องกีฬาฟุตบอล อาจารย์สกล กล่าว
ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ จ.ฉะเชิงเทรา รายงาน