วันที่ 19 ธันวาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศ AP รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งอาจนำไปสู่การจัดประเภทกัญชาใหม่ให้เป็นยาเสพติดที่มีอันตรายน้อยลง และเปิดแนวทางใหม่สำหรับการวิจัยทางการแพทย์ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของนโยบายยาเสพติดในระดับรัฐบาลกลาง และเป็นก้าวที่ทำให้สหรัฐฯ เข้าใกล้แนวทางที่หลายรัฐได้ดำเนินการไปแล้ว

ภาพจาก สำนักข่าวต่างประเทศ AP
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะทำให้กัญชาหลุดพ้นจากการจัดประเภทปัจจุบันในกลุ่มยาเสพติดประเภที่ 1 (Schedule I) ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับเฮโรอีนและแอลเอสดี โดยกัญชาจะถูกจัดใหม่เป็นสารในกลุ่มประเภทที่ 3 (Schedule III) เช่นเดียวกับคีตามีนและสเตียรอยด์อะนาโบลิกบางชนิด
การปรับสถานะโดยสำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐฯ (DEA) จะไม่ทำให้กัญชาถูกกฎหมายสำหรับการใช้เพื่อสันทนาการของผู้ใหญ่ทั่วประเทศ แต่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการกำกับดูแล และช่วยลดภาระภาษีจำนวนมากที่อุตสาหกรรมกัญชาต้องแบกรับอยู่ ทั้งนี้ ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันกล่าวว่า เขาได้รับโทรศัพท์จำนวนมากที่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ โดยมองว่าจะช่วยผู้ป่วยได้ มีคนจำนวนมากขอร้องให้ผมทำเรื่องนี้ คนที่กำลังเจ็บปวดอย่างหนัก
ปัจจุบัน กัญชาทางการแพทย์ได้รับอนุญาตแล้วใน 40 รัฐและกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และหลายรัฐยังทำให้กัญชาถูกกฎหมายสำหรับการใช้เพื่อสันทนาการด้วย อย่างไรก็ตาม กฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ยังคงเข้มงวด ซึ่งอาจทำให้ประชาชนยังคงเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีในระดับรัฐบาลกลาง
ก่อนหน้านี้ กระทรวงยุติธรรมในสมัยรัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต เคยเสนอให้ปรับสถานะกัญชาเป็นสารในกลุ่มประเภทที่ 3 (Schedule III) เช่นกัน แต่แตกต่างจากไบเดน ตรงที่ทรัมป์ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเปิดเผยจากสมาชิกในพรรคของตนอย่างกว้างขวาง โดยรีพับลิกันบางส่วนออกมาคัดค้านการเปลี่ยนแปลงใด ๆ และเรียกร้องให้ทรัมป์คงมาตรฐานเดิมไว้
โดยทั่วไป การเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้ต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อนและยืดเยื้อ รวมถึงช่วงเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ ซึ่งมีผู้แสดงความคิดเห็นนับหมื่นรายจากทั่วสหรัฐฯ ขณะที่ DEA ยังอยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาเมื่อทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม ทรัมป์จึงสั่งให้เร่งกระบวนการดังกล่าวให้เร็วที่สุดเท่าที่กฎหมายจะอนุญาต แม้จะยังไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจน
ผลสำรวจของ Gallup ระบุว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่สนับสนุนแนวทางที่ผ่อนคลายมากขึ้น โดยการสนับสนุนให้กัญชาถูกกฎหมายเพิ่มขึ้นจากเพียง 36% ในปี 2005 เป็น 64% ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวลดลงเล็กน้อยจากเมื่อไม่กี่ปีก่อน โดย Gallup ระบุว่าสาเหตุหลักมาจากการสนับสนุนที่ลดลงในหมู่รีพับลิกัน
คำสั่งของทรัมป์ยังเรียกร้องให้ขยายการวิจัยและการเข้าถึง CBD ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากกัญชงที่ถูกกฎหมายและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยประโยชน์ในการรักษาอาการต่าง ๆ เช่น ความเจ็บปวด ความวิตกกังวล และปัญหาการนอนหลับ ยังเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งโครงการนำร่องใหม่ของ Medicare จะเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึง CBD จากกัญชงที่ถูกกฎหมายได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หากแพทย์เป็นผู้แนะนำ ตามคำกล่าวของ นพ.เมห์เมต ออซ ผู้อำนวยการศูนย์บริการ Medicare และ Medicaid
อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับกัญชาไม่ได้รับการต้อนรับจากทุกฝ่าย สมาชิกวุฒิสภารีพับลิกันมากกว่า 20 คน ซึ่งหลายคนเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของทรัมป์ ได้ลงนามในจดหมายเรียกร้องให้ประธานาธิบดีคงกัญชาไว้ในกลุ่ม 1 (Schedule I)
กลุ่มดังกล่าวซึ่งนำโดยวุฒิสมาชิก เท็ด บัดด์ จากรัฐนอร์ทแคโรไลนา ให้เหตุผลว่ากัญชายังคงเป็นอันตราย และการเปลี่ยนสถานะจะ บ่อนทำลายความพยายามอันแข็งแกร่งของท่านในการทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง พร้อมระบุว่ากัญชาส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและจิตใจของผู้ใช้ รวมถึงความปลอดภัยบนท้องถนนและในสถานที่ทำงาน ทั้งนี้ ผู้ที่จะได้ประโยชน์จากการปรับสถานะมีเพียงกลุ่มที่ไม่หวังดี เช่น พรรคคอมมิวนิสต์จีน ขณะที่ชาวอเมริกันจะต้องเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่าย จดหมายระบุ โดยอ้างถึงบทบาทของจีนในตลาดกัญชา
ในช่วงแรกของรัฐบาลทรัมป์สมัยที่สอง กระทรวงยุติธรรมแทบไม่แสดงความสนใจในการหารือเรื่องการปรับสถานะกัญชา ซึ่งก่อนหน้านี้เผชิญแรงต้านอย่างหนักจากภายใน DEA ในสมัยไบเดน ตามคำให้สัมภาษณ์ของอดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายหนึ่งที่ขอไม่เปิดเผยชื่อเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบ โดยทรัมป์ได้ทำให้การปราบปรามยาเสพติดอื่น ๆ โดยเฉพาะเฟนทานิล เป็นนโยบายสำคัญของวาระที่สอง โดยสั่งการให้กองทัพสหรัฐฯ โจมตีเรือจากเวเนซุเอลาและประเทศอื่น ๆ ที่รัฐบาลระบุว่าใช้ลำเลียงยาเสพติด และยังลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารประกาศให้เฟนทานิลเป็นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง
ด้านแจ็ก ไรลีย์ อดีตรองผู้อำนวยการ DEA สนับสนุนการให้ความสำคัญกับสงครามยาเสพติดในฐานะประเด็นความมั่นคงแห่งชาติ แต่ชี้ว่าการปรับสถานะกัญชาส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกัน เขากำลังสั่งถล่มเรือในลาตินอเมริกาที่เขาบอกว่าบรรทุกเฟนทานิลและโคเคน แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับผ่อนคลายข้อจำกัดที่จะทำให้การเข้าถึงยาเสพติดระดับต้นกว้างขึ้น ไรลีย์กล่าว นั่นเป็นความขัดแย้งอย่างชัดเจน ทั้งนี้ ฝ่ายคัดค้าน เช่น กลุ่ม Smart Approaches to Marijuana ประกาศว่าจะยื่นฟ้องหากการปรับสถานะเกิดขึ้นจริง

ภาพจาก สำนักข่าวต่างประเทศ AP
ขณะเดียวกัน ผู้สนับสนุนกัญชาบางส่วนต้องการให้รัฐบาลก้าวไปไกลกว่านั้น และปฏิบัติต่อกัญชาในลักษณะใกล้เคียงกับแอลกอฮอล์ ทรัมป์ยังไม่ได้ให้คำมั่นต่อมาตรการใหญ่ เช่น การลดทอนความเป็นอาชญากรรมของกัญชา และกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า เขาได้แนะนำบุตรหลานของตนไม่ให้ใช้ยาเสพติด อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่า ข้อเท็จจริงบีบให้ รัฐบาลต้องยอมรับว่ากัญชามีการใช้งานทางการแพทย์ที่ถูกต้อง และในหลายรัฐ กัญชาก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบการดูแลสุขภาพไปแล้ว
ปัจจุบัน บุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับใบอนุญาตกว่า 30,000 คน มีอำนาจแนะนำการใช้กัญชาสำหรับผู้ป่วยมากกว่า 6 ล้านคน เพื่อรักษาอย่างน้อย 15 ภาวะโรค ตามข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ระบุว่ามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือสนับสนุนการใช้กัญชาในการรักษาภาวะเบื่ออาหารที่เกี่ยวข้องกับโรค อาการคลื่นไส้ อาเจียน และความเจ็บปวด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่ง 1 ใน 3 ประสบปัญหาอาการปวดเรื้อรัง