เรียกว่ายังคงเป็นกระแสเดือดต่อเนื่อง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ บอสณวัฒน์ ได้ขอเงินที่ได้บริจาคไปให้ มูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้คืน ซึ่งต่อมาทางด้าน กันจอมพลัง ก็ได้ทำการโอนเงินส่วนตัวคืน 50,000 บาท ซึ่งโอนเข้าบัญชี บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

หลักฐานการโอน
ต่อมา บอสณวัฒน์ ได้โพสต์ข้อความตอบกลับทันทีหลังได้รับเงินคืนระบุว่า ผมไม่ได้ต้องการเงินส่วนตัวของกัน ผมต้องการเงินคืนจากมูลนิธิ เพื่อให้เราหลุดพ้นการเกี่ยวโยง, ผมได้แจ้งไปชัดเจนแล้วว่าผมไม่รับเงินส่วนตัวมันไม่ถูกต้องตามกฎหมายของบริษัทมหาชน

ซึ่งหลังจากที่ได้โพสต์ข้อความดังกล่าวออกไป ต่างมีชาวเน็จเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก
ล่าสุดจากกรณีดังกล่าว เพจดังอย่าง บันเทิงหน้าตุ๊ด ได้โพสต์ข้อความปมเงินบริจาคระบุว่า ถ้าเอาเงินบริษัทโอนบริจาคเข้ามูลนิธิฯ ในกรณีที่เจ้าของบริษัทอยากได้เงินบริจาคคืน แล้วกรณีที่มูลนิธิฯได้นำเงินบริจาคส่วนนั้นไปทำประโยชน์แล้ว มูลนิธิฯไม่มีเงินส่วนนั้นมาโอนคืนให้ ในกรณีนี้เจ้าของมูลนิธิฯ สามารถเอาเงินส่วนตัวโอนกลับคืนได้ไหม? #ตามหลักกฎหมาย

หลังจากเพจดังกล่่าวได้โพสต์ออกไป ก็ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ ทนายพัฒน์ คุยกฎหมาย ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นระบุว่า หลัก บริจาคแล้ว คือ บริจาคเลยนะ ห้ามเรียกคืน
ความคิดเห็นดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม เพจเฟซบุ๊ก ทนาย โนบิตะ ได้ให้ความรู้ในเรื่องดังกล่าวไว้ดังนี้
ผู้บริจาคจะขอเงินคืนจากมูลนิธิกันจอมพลังได้หรือไม่
การบริจาค จัดอยู่ใน กฎหมายเรื่องการให้ ตามกฎหมาย ถ้าจะเอาคืน ก็ต้องอ้างเหตุที่มีกฎหมายรองรับ ซึ่งต้องบังคับกันด้วยเรื่องกฎหมายว่าด้วยการให้เช่นกัน
การให้ที่ไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับการให้ใดๆไว้เลยนั้น ถือว่าเป็นการให้ที่ในลักษณะ สละกรรมสิทธิ์โดยสิ้นเชิง จึงถือว่ากรรมสิทธิ์ในเงินที่ให้ตกแก่มูลนิธิไปแล้ว (ฎ.1434/2563)
ถ้าผู้บริจาคจะขอเงินคืน #โดยอ้างเหตุสำคัญผิด ก็จะต้องอ้างว่า เป็นการสำตคัญผิดในเรื่องอะไร และเรื่องนั้นถือว่าเป็นสาระสำคัญของการให้เงินหรือบริจาคเงินหรือไม่ ถ้าไม่ใช่สาระสำคัญก็เรียกคืนเงินไม่ได้
โดยกฎหมายกำหนดเรื่องที่เป็นสาระสำคัญเอาไว้ให้ เช่น
สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม เช่น ตั้งใจจะยกให้ แต่กลายเป็นเรื่องซื้อขาย แบบนี้เรียกว่าสำคัญผิดในนิติกรรม
สำคัญผิดในตัวบุคคล เช่น ตั้งใจจะให้ นาย ก. แต่ดัน ให้ นาย ข.
สำคัญผิดในตัวทรัพย์ เช่น ตั้งใจจะให้รถยนต์สีแดง แต่ดันให้รถยนต์สีฟ้า
สำคัญผิดในเรื่องราคา เช่น ตั้งใจจะซื้อรถในราคา 100 บาท แต่ดันซื้อในราคา 1,000 บาท (ฎ.978/2567)
กรณีของ กัน จอมพลัง แม้ว่ากันฯ จะไม่ใช่กรรมการ หรือประธานของมูลนิธิก็ตาม #แต่ก็เป็นการนบริจาคเงินให้แก่มูลนิธิอยู่นั่นเอง และก็เป็นมูลนิธิที่กันฯบอกไว้ตรงกับมูลนิธิที่รับเงินบริจาค
ดังนั้น ทุกอย่างตรงกันหมด คงมีอย่างเดียวที่ไม่ตรงกันระหว่าง กัน กับผู้บริจาค คือ ผู้บริจาค เข้าใจว่ามูลนิธิเป็นของกันฯ ซึ่งคำว่า เจ้าของ ก็ต้องมาตีความว่า หมายถึงเจ้าของแบบใด ในบริบทใด ในมุมมองใด
ถ้ากันฯ บอกว่า ในฐานะที่เขาเป็นผู้ก่อตั้ง เขาเข้าใจว่าเขาเป็นเจ้าของ ก็ถูกในมุมของกัน สำหรับผู้บริจาคถ้าเข้าใจว่าเจ้าของหมายถึงกันต้องเป็นกรรมการหรือประธาน ก็ถูกในมุมของผุ้บริจาค
ถ้าสุจริตหรือเข้าใจกันไปคนละแบบ ก็ต้องมาดูว่า มีใครหลอกลวงหรือไม่ เช่น กันฯ มีการหลอกลวงในความเป็นเจ้าของหรือไม่ ซึ่งถ้ากันฯเข้าใจว่าตนเองในฐานะผู้ก่อตั้งเป็นเจ้าของ ก็ไม่ถือว่ากันฯหลอกลวง แต่เป็นความเข้าใจของกันเขาเอง ความเข้าใจแบบนี้ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย
ถ้า ทั้ง กันฯ และ ผู้บริจาค ต่างสุจริตด้วยกันทั้งคู่ กฎหมายให้ไปดูว่าใครเป็นฝ่ายประมาทมากกว่ากัน ตามมาตรา 158 ของ ป.พพ.
เนื่องจากมูลนิธิ เป็นนิติบุคคล ที่การจัดตั้งจะต้องมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา และ บุคคลทั่วไปสามารถตรวจสอบเอกสารการจัดตั้งมูลนิธิได้ ว่า มีใครเป็นกรรมการ และมีใครเป็นประธาน
เมื่อมูลนิธิ สามารถตรวจสอบจากหน่วยงานราชการได้และทุกคนสามารถตรวจสอบได้ เมื่อผู้บริจาคไม่ได้ทำการตรวจสอบ ก็ต้องถือว่าผู้บริจาคเป็นฝ่ายประมาท คือ แสดงเจตนาโดยสำคัญผิดเพราะความประมาทของตนเองรวมอยู่ด้วย กรณีนี้ผู้บริจาคอาจจะเรียกเงินที่บริจาคคืนไม่ได้่
ถ้าจะตั้งรูปคดีว่ากันฯ ฉ้อโกงประชาชน ผู้ฟ้องคดีก็ต้องยืนยันข้อเท็จจริงว่ากันไม่ได้เป็นเจ้าของและรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่มาแอบอ้างว่าเป็นเจ้าของเพื่อหลอกเอาเงิน แต่กันฯก็สู้ได้ว่าตนเองไม่ได้หลอกลวงเพราะตนเองก็เข้าใจว่าผู้ก่อตั้งเป็นเจ้าของเช่นกัน
ศาลฎีกวางหลักในคดีฉ้อโกงว่า หากผู้ต้องหาหรือเขามีมูลเหตุให้เข้าใจว่าเขามีอำนาจหรือเขากระทำได้ ก็ถือว่าเขาไม่มีเจตนาในทางอาญาและไม่มีเจตนาในทางทุจริต
ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 2615/2565
จำเลยในฐานะผู้เ่ช่า เข้าใจโดยสุจริตว่าตนเองมีอำนาจเอาบ้านให้เช่าช่วงได้ ถือว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริตและไม่มีเจตนากระทำผิดในทางอาญา จำเลยจึงไม่ผิดฐานฉ้อโกง
(มี ฎ.334/2521 วินิจฉัยไว้ทำนองเดียวกัน เกี่ยวกับความเข้าใจว่ามีอำนาจกระทำได้)
ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 615 - 616/2515
จำเลยเข้าใจว่าตนเองเป็นเจ้าของทรัพย์สิน เพราะจำเลยมีการโต้แย้งเรื่องว่าใครเป็นเจ้าของกันแน่ ดังนั้น จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีมเจตนาทุจริตหรือหลอกลวง จำเลยจึงไม่ผิดฐานฉ้อโกง
วิธีพิจารณาว่า การบริจาคนั้น เกิดความสำคัญผิดหรือไม่ และสำคัญผิดในเรื่องใด และเรื่องนั้นเป็นสาระสำคัญหรือไม่ จะพิจารณาจากองค์ประกอบ ดังนี้
1. กัน จอมพลัง
2. มูลนิธิกัน จอมพลัง
3. วัตถุประสงค์ของการบริจาค
จะเห็นว่า มูลนิธิฯมีอยู่จริง และสมมติว่า เงินที่บริจาคนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์จริง คงเหลือเพียงว่าคนบริจาคเข้าใจว่ากันฯ เป็นเจ้าของ
ซึ่งประเด็นความเข้าใจว่าเป็นเจ้าของนั้น เห็นว่า ทั้งกันฯ และผู้บริจาค มีความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน เพราะมองกันคนละมุม
แต่โดยทั่วไป การบริจารเงินให้แก่มูลนิธิ มักจะพิจารณาจากตัวของมูลนิธิและวัตถุประสงค์ที่จะนำเงินไปใช้ประโยชน์ ส่วนตัวของบุคคลนั้นไม่ถือเป็นสาระสำคัญ ถ้าจะให้เป็นสาระสำคัญ ก็จะต้องมีการตกลงกันหรือมีเงื่อนไขกันในทำนองว่า เหตุที่บริจาคเพราะเชื่อว่ามูลนิธิมีกันจอมพลังเป็นกรรมการหรือเป็นประธาน ถ้ามีเงื่อนไขอย่างนี้ ก็พอจะถือว่า ตัวบุคคลหรือคุณสมบัติของบุคคลเป็นสาระสำคัญของการบริจาคได้
แต่ถ้าไม่มีการกำหนดเงื่อนไขกันในในทำนองนี้ การอ้างว่าบริจาคเพราะเข้าใจผิดในคุณสมบัติของบุคคลนั้น อาจจะถือว่า เป็นการเข้าใจผิดหรือสำคัญผิดในเรื่องที่ไม่เป็นสาระสำคัญ อาจจะเรียกคืนไม่ได้
เนื่องจากว่า โดยทั่วไปแล้วนั้น คุณสมบัติของบุคคล ไม่ได้ถือว่าเป็นสาระสำคัญ กฎหมายจึงได้บัญญัติเอาไว้เป็นพิเศษ ว่า
มาตรา 157 วรรคสอง ของ ป.พพ.
ความสำคัญผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นความสำคัญผิดในคุณสมบัติ ซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ ซึ่งหากมิได้มีความสำคัญผิดดังกล่าว การอันเป็ฯโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำจขึ้น
ฉะนั้น การบริจาคเงิน ให้มูลนิธิ กัน จอมพลัง ถ้าใครอ้างวา่บริจาคเพราะเข้าใจว่ากันเป็นกรรมการหรือเป็นประธาน ก็ต้องนำสืบว่า คุณสมบัติดังกล่าวนั้น เป็นเรื่องซึ่งตามปกติถือเป็นสาระสำคัญของการบริจาคเงินให้มูลนิธิ ซึ่งก็ต้องนำสืบว่า ตามปกติการบริจาคเงินให้มูลนิธิจะต้องดูด้วยว่าใครเป็นกรรมการ และใครเป็นประธาน และผู้บริจาคดูและพิจารณาเรื่องนี้ทุกครั้งที่บริจาค ถ้านำสืบได้แบบนี้ ก็อาจจะเรียกเงินคืนได้
ตัวอย่างที่ศาลวินิจฉัยว่าอะไรเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม
ดู คำพิพากษาศาลฎีกา 7019/2567
โจทก์ ต้องการเช่าพื้นที่เพื่อทำโรงงาน ดังนั้น คุณสมบัติของพื้นที่ จึงถือว่าเป็นสาระสำคัญ เพราะเป็นการเช่าเพื่อทำโรงงาน ดังนั้น หากพื้นที่ใดไม่สามารถทำโรงงานได้ ก็ต้องถือว่าพื้นที่นั้นไม่สมประโยชน์ของโจทก์ที่จะเช่า #ถ้าทำให้โจทก์เข้าใจผิดในคุณสมบัตินี้ ก็ถือว่าเป็นการทำให้เข้าใจผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแล้ว
ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 4084/2567
การซื้อรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศ สิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญคือ รถยนต์ดังกล่าวนำเข้ามาโดย เสียภาษีอย่างถูกต้องหรือไม่ ถ้าผู้ซื้อเข้าใจว่าเสียภาษีถูกต้อง แต่แท้จริงแล้วเสียไม่ถูกต้อง ก็ถือว่าการนำเข้าโดยเสียภาษีถูกหรือไม่นั้น เป็นสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญ
จึงสรุปว่า ผู้บริจาคที่จะขอเงินคืน ต้องพิสูจน์ว่าอะไรเป็นสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของการบริจาคเงินให้แก่มูลนิธิ ระหว่าง ตัวของกันจอมพลัง หรือ ตัว
ของมูลนิธิ หรือ วัตถุประสงค์ของมูลนิธิ
ขอบคุณบทความจาก คดีโลกคดีธรรม
เรียบเรียง สยามนิวส์