เมื่อวานนี้ (21 ต.ค.) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ…. ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ กำหนดให้มีคณะกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (คพช.) คณะหนึ่ง
ประกอบด้วย
1.ประธานกรรมการซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยพระสังฆราชานุมัติด้วยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม (มส.)
2.กรรมการโดยตำแหน่งจำนวน 6 คน ได้แก่ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
3.กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านพระพุทธศาสนาและด้านอื่น ๆ จำนวนไม่เกิน 9 คน ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง ด้วยความเห็นชอบของมส.
4.ผอ.พศ.เป็นกรรมการและเลขานุการ
สำหรับกรรมการโดยตำแหน่งผู้ใดที่ไม่ใช่พุทธศาสนิก อาจมอบหมายให้ข้าราชการในสังกัดระดับรองลงไปทำหน้าที่กรรมการแทนได้ ส่วนวาระการดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 3 ปี นับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง ซึ่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ และพ้นจากตำแหน่ง อาทิ ตาย ลาออกและนายกรัฐมนตรีให้ออกเพราะบกพร่องต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือหย่อนความสามารถ
หน้าที่และอำนาจของคพช. เช่น 1.กำหนดมาตรการและกลไกที่เหมาะสมเพื่อการคุ้มครองพระพุทธศาสนา ให้เป็นไปตามกฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี พระธรรมวินัยกฎ ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง ประกาศ มติมส. หรือตามพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช และมาตรการและกลไกที่เกี่ยวข้องกับการปกครองคณะสงฆ์ซึ่งต้องได้รับพระสังฆราชานุมัติ (การอนุมัติจากสมเด็จพระสังฆราช) ด้วยความเห็นชอบของ มส.ก่อนดำเนินการ
2.มอบหมาย ติดตาม และกำกับดูแลคณะอนุกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนาจังหวัด และหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการตามภารกิจหน้าที่และอำนาจ เพื่อให้มาตรการและกลไกในการคุ้มครองพระพุทธศาสนาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์
3.ให้คำแนะนำ และคำปรึกษา ในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐเมื่อต้องปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับกิจการพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์
4.ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องให้ส่งเอกสาร ข้อมูล ความเห็นหรือการดำเนินการที่จำเป็น รวมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรภาคเอกชน หรือองค์การระหว่างประเทศหรือระหว่างประเทศในการคุ้มครองพระพุทธศาสนา
5.แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อดำเนินการตามที่ คพช. มอบหมาย ทั้งนี้ หากดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจแล้ว แต่ยังมีปัญหาหรืออุปสรรคขัดข้อง ให้ คพช. รายงานสภาพปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะการแก้ไขปัญหาต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป
พร้อมทั้งกำหนดให้มี คณะอนุกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนาจังหวัด (อ.คพจ.) นอกจากกรุงเทพมหานครประกอบด้วย
1.เจ้าคณะจังหวัด และเจ้าคณะจังหวัด (ธรรมยุต) เป็นที่ปรึกษา
2.ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานอนุกรรมการ
3.อนุกรรมการ ได้แก่ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด คลังจังหวัด เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐของจังหวัด
4.ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ มีภารกิจหลัก 3 ด้าน
ดังนี้ 1.สนับสนุนและอารักขาพระสังฆาธิการและพระวินยาธิการในการปกครองพระภิกษุสามเณร การชำระอธิกรณ์ การลงนิคหกรรมการสอดส่องตรวจสอบอาจาระของพระภิกษุสามเณร การดำเนินการให้พระภิกษุสามเณรสละสมณเพศ ตลอดจนสอดส่องและให้คำแนะนำการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารมวลชนให้เป็นไปอย่างเหมาะสม รักษาเกียรติภูมิคณะสงฆ์ และคุ้มครองภาพลักษณ์สถาบันพระพุทธศาสนา
2.จัดทำทะเบียน และบูรณาการการจัดการศาสนสมบัติ วัด ที่ดินวัด ที่ธรณีสงฆ์ ที่พักสงฆ์ ศาสนสมบัติกลางและวัดร้าง ซึ่งไม่ใช่ของรัฐแต่เป็นทรัพย์สินของพระพุทธศาสนาตามกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ตลอดจนกำกับและตรวจสอบการงบประมาณ นิตยภัต การบัญชีและการเงินของวัด โรงเรียนพระปริยัติธรรม สำนักเรียน และสำนักศาสนศึกษาและปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
3.ตรวจสอบสถานภาพและประวัติพระภิกษุสามเณร ตลอดจน จัดทำข้อมูลในระบบและฐานข้อมูลตามนโยบายและแนวทาง ที่สำนักงานกำหนด ทั้งนี้ หากดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจแล้ว แต่ยังมีปัญหาหรือ อุปสรรคขัดข้องให้ อ.คพจ. รายงานสภาพปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะการแก้ไขปัญหาต่อ คพช. เพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป
ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ…. ยังกำหนดให้มี คณะวินัยธรกลาง และคณะธรรมธรกลาง โดยคณะวินัยธรกลาง ประกอบด้วย พระภิกษุผู้ทรงภูมิในพระวินัย จำนวนไม่เกิน 10 รูป ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม โดยมีหน้าที่และอำนาจ เช่น
1.พิจารณาและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับพระวินัย ที่มีข้อโต้แย้งการตีความพระวินัยและการบังคับใช้ หรือในกรณีมีข้อความเห็นแตกต่างกันระหว่างพระสังฆาธิการผู้มีอำนาจสอบสวนและวินิจฉัยอธิกรณ์ซึ่งได้ดำเนินการตามกฎมส. และคณะพระสังฆาธิการนั้นได้ร้องขอให้พิจารณาวินิจฉัย
2.พิจารณาและวินิจฉัยปัญหาที่ปรากฏขึ้นแก่คณะวินัยธรกลาง และคณะวินัยธรกลางเห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญอันควรมีข้อยุติที่ต้องถือปฏิบัติโดยคณะสงฆ์
ส่วนคณะธรรมธรกลาง ประกอบด้วยพระภิกษุผู้ทรงภูมิในพระธรรม จำนวนไม่เกิน 10 รูป ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม โดยมีหน้าที่และอำนาจ
เช่น 1.พิจารณาและวินิจฉัยปัญหาในลักษณะสัทธรรมปฏิรูปเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และปัญหาทางพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบคณะสงฆ์ไทย ตามที่พระสังฆาธิการ ตั้งแต่เจ้าคณะภาคขึ้นไปร้องขอให้พิจารณาวินิจฉัย 2.พิจารณาและวินิจฉัยปัญหาที่ปรากฏขึ้นแก่คณะธรรมธรกลางและคณะธรรมธรกลางเห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญอันควรมีข้อยุติที่ต้องถือปฏิบัติโดยคณะสงฆ์
พร้อมทั้งกำหนดให้ พศ. ปฏิบัติหน้าที่เป็นหน่วยธุรการของ คพช. คณะวินัยธรกลางและคณะธรรมธรกลาง และให้มีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้ 1.สนับสนุนงานทางวิชาการและงานธุรการแก่ คพช. 2.ประสานงานกับหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของ คพช. 3.ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ คพช. มอบหมาย
นอกจากนี้ยังกำหนดให้ผอ.พศ. ติดตามการดำเนินงานและเฝ้าระวังสถานการณ์ด้านพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พระพุทธศาสนาจังหวัดและกิจการคณะสงฆ์ อย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ เพื่อบริหารสถานการณ์ ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยและรวดเร็ว และให้ผอ.พศ. จัดทำรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีของ คพช. ในภาพรวมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนธ.ค.ของทุกปี แล้วเผยแพร่ต่อสาธารณะ
ทั้งนี้ ในการประชุม มส.ครั้งที่ 26/2568 เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2568 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างระเบียบ และมอบให้ พศ. นำร่างระเบียบฯ ไปปรับปรุงโดยเพิ่มเติมสาระในองค์ประกอบ อ.คพจ. โดยให้มีเจ้าคณะจังหวัด ทั้งสองนิกายเป็นที่ปรึกษา อ.คพจ. ซึ่ง พศ. ได้ปรับแก้ตามข้อสังเกตของมหาเถรสมาคมเรียบร้อยแล้ว