จากกรณี เพจเฟซบุ๊ก โรงพยาบาลปลายพระยา จ.กระบี่ ได้มีการโพสต์เรื่องราวของผู้ป่วยรายหนึ่ง ที่เสียชีวิตลง เนื่องจากไม่สามารถเคลื่อนย้ายขึ้นรถฉุกเฉินของโรงพยาบาล เพื่อส่งต่อไปรักษาได้ เพราะมีรถกระบะจอดปิดทางการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย จนกลายเป็นกระแสกระแสวิพากย์วิจารณ์อย่างมากจากคนสังคม
ล่าสุด (19 ต.ค. 2568) ชายเจ้าของรถกระบะคันดังกล่าว ได้ชี้แจงดังกล่าวว่า วันเกิดเหตุตนเองพาแม่ วัย 69 ปี มีอาการป่วยด้วยกรดไหลย้อน ทำให้จุกแน่นหายใจไม่ออก ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ก็คือโรงพยาบาลปลายพระยา ตอนที่ตนจอดส่งแม่ ก็ไม่มี จนท.ของโรงพยาบาลมารับตัว ตนจึงต้องให้ภรรยาไปเอารถเข็นและช่วยกันเข็นแม่เข้าไปในห้องฉุกเฉิน เพราะแม่มีอาการอ่อนแรงไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
ตอนนั้นตนเองก็ไม่ทราบว่า รถฉุกเฉินที่จอดอยู่ เพิ่งเข้ามาจอดหรือเตรียมจะออกกันแน่ และไม่รู้ด้วยว่ามีผู้ป่วยฉุกเฉินรอขึ้นรถฉุกเฉิน ภรรยาต้องไปติดต่อทำประวัติกับพยาบาล ตนจึงต้องเข็นแม่ไปขึ้นเตียงในห้องฉุกเฉิน ช่วงนั้นไม่มี จนท.เข้ามาดูแล ตนจึงต้องเรียกให้ จนท.เข้ามาดูแลแม่ด้วย เป็นจังหวะที่ จนท.มาบอกให้ตนไปเลื่อนรถ แต่ไม่ได้บอกว่า มีผู้ป่วยวิกฤติรอขึ้นรถฉุกเฉินอยู่ ตนเลยบอกกับ จนท.ว่า ตนขอพาแม่ขึ้นเตียงผู้ป่วยก่อน แล้วจะไปขยับรถให้ ตอนนั้นหากมี จนท.มารับแม่ตนไปขึ้นเตียงผู้ป่วย แล้วบอกตนว่าให้ตนไปขยับรถให้ผู้ป่วยอีกรายหนึ่งก่อน มันก็คงไม่เกิดปัญหานี้ขึ้นมา
ตนจึงหันไปบ่นต่อว่ากับ จนท.ว่าทำไมถึงไม่แบ่งคนดูแล จากนั้นตนก็เดินออกจากห้องเพื่อจะไปเลื่อนรถให้ แต่ตนก็ไม่เห็นผู้ป่วยฉุกเฉินดังกล่าวแล้ว ก็เข้าใจว่า จนท.น่าจะพาขึ้นรถฉุกเฉินไปแล้ว จังหวะที่เดินออกมา ตนก็เห็นลูกสาวของผู้ป่วยคนดังกล่าว มาพูดกับตน ว่าให้ช่วยเลื่อนรถให้ ตนก็เดินออกมาจะเลื่อนรถ แต่ก็เห็นว่ารถฉุกเฉินเคลื่อนตัวออกไปแล้ว ทางญาติของผู้ป่วยรายดังกล่าวก็มายืนต่อว่าภรรยาตน ตนก็ต้องพูดคุยเพื่ออธิบาย ว่าแม่ของตนก็อาการหนักเหมือนกันเพราะหายใจไม่ออก หลังจากนั้นตนเองก็ไม่ทราบจริงๆ ว่าผู้ป่วยรายดังกล่าวจะไปเสียชีวิตตรงไหน
ตามคำแถลงของโรงพยาบาล ก็ไม่ได้ระบุว่าผู้ป่วยไปเสียชีวิตที่ไหนยังไงเวลาไหน รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทางโรงพยาบาลก็ไม่ได้อธิบายให้เข้าใจทั้งหมด มีเพียงภาพบางส่วนที่ทำให้เห็นว่าตนขัดขวาง จนท. รวมถึงตอนที่ลูกสาวผู้เสียชีวิตมานั่งอ้อนวอนขอให้ตนไปขยับรถ ตอนนั้นตนเองก็กำลังจะเดินไปขยับรถให้อยู่ แต่ทางโรงพยาบาลไม่สื่อสารให้เห็นทั้งหมด ทำให้คนเข้าใจว่าเป็นการกราบอ้อนวอนขอ ซึ่งตนเองก็ไม่ได้โต้เถียงอะไรกับลูกสาวผู้เสียชีวิตเลย
อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเรื่อง ตนเองก็เตรียมส่งเงินชดเชยส่วนหนึ่งจากบริษัทที่ทำงานไปให้กับญาติผู้เสียชีวิต ส่วนตัวของตนเองก็ถูกบริษัทเลิกจ้างไปแล้ว ต้องกลายเป็นคนตกงาน ค่าชดเชยจากบริษัทตนเองก็ไม่ได้ ส่วนภรรยาก็ต้องรอออกจากงานสิ้นปีเช่นกัน
ทั้งนี้ ตนเข้าใจที่กระแสสังคมมารุมต่อว่า และไม่โกรธผู้คนในโซเชียล เพราะเข้าใจว่าเขาได้รับข้อมูลเพียงด้านเดียว สังคมไม่ได้รู้ว่าก่อนหน้านั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่หากย้อนเวลากลับไปได้ ตนเองก็คงจะไม่ปะทะกับ จนท.แบบนี้ ยอมรับว่าตนเองก็ขาดสติไป นั่นเพราะตนเหลือแม่เพียงคนเดียว