เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา มีรายงานจากพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า หน่วยงานฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 โดยเฉพาะด้านจังหวัดสระแก้ว สามารถจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองได้แล้วทั้งหมด 35 ครั้ง นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์สู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา โดยมีผู้ต้องหาทั้งสิ้น 158 คน แยกเป็นพื้นที่
- อ.อรัญประเทศ 23 ครั้ง ผู้ต้องหา 112 คน
- อ.ตาพระยา 7 ครั้ง ผู้ต้องหา 26 คน
- อ.วัฒนานคร 1 ครั้ง ผู้ต้องหา 5 คน
- อ.โคกสูง 1 ครั้ง ผู้ต้องหา 6 คน
- อ.คลองหาด 3 ครั้ง ผู้ต้องหา 9 คน
ชายแดนฝั่งจังหวัดจันทบุรีและตราดยังคงมีการจับกุมแรงงานผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะชุดลาดตระเวนของทหารพรานในพื้นที่ พบแรงงานกัมพูชาลักลอบข้ามแดนเข้ามาทำงานในประเทศไทยเป็นระยะ แสดงให้เห็นว่ายังมีชาวกัมพูชาจำนวนมากที่พยายามกลับเข้ามาหางานทำในไทย
ข้อมูลจากสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กระทรวงแรงงาน ระบุว่า ในปี 2567 มีแรงงานกัมพูชาในไทยจำนวน 435,991 คนและในปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 512,184 คน เป็นผู้ที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายและกลุ่มที่ลักลอบเข้ามาทำงานในภาคการเกษตรและงานรับจ้างทั่วไป
ขณะที่ข้อมูลจากองค์กรพัฒนาเอกชนด้านแรงงานของกัมพูชา Center for Alliance of Labor and Human Rights เคยระบุว่า ในปี 2562 แรงงานกัมพูชาในไทยมีอยู่ระหว่าง 1.7-2 ล้านคน
แรงงานกัมพูชาที่พำนักและทำงานในไทยจำนวนหนึ่งยังคงปฏิเสธที่จะเดินทางกลับประเทศ เช่น เพ็ญและโงย สองสามีภรรยาชาวกัมพูชา ซึ่งทำงานรับจ้างเฝ้าบ่อกุ้งและงานก่อสร้างในจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้เล่าว่าได้รับการติดต่อจากพ่อแม่ในเมืองพระตะบอง ให้เดินทางกลับประเทศเนื่องจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นขู่จะยึดบ้านและที่นา หากยังไม่ย้ายกลับ แต่ทั้งสองคนยังคงยืนยันที่จะอยู่ต่อในไทย เนื่องจากกังวลว่าเมื่อกลับไปแล้วอาจไม่มีโอกาสกลับเข้ามาอีก
เพ็ญและโงย ระบุว่า การทำงานในไทยให้รายได้เดือนละ 10,000 กว่าบาท สามารถส่งกลับไปให้ลูกในประเทศกัมพูชาเป็นค่ากินอยู่และค่าเล่าเรียน เดือนละ 2,000-3,000 บาท ขณะที่งานในกัมพูชา มีรายได้น้อยและหายาก
จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา มีรายงานไม่เป็นทางการระบุว่า แรงงานกัมพูชาหายไปจากตลาดแรงงานไทยราว 300,000 คน เหลืออยู่ในระบบเพียงประมาณ 200,000 คน ทำให้ไทยต้องเร่งนำเข้าแรงงานจากประเทศอื่น ๆ เช่น ลาวและศรีลังกา เพื่อรองรับในภาคแรงงาน โดยเฉพาะงานรับเหมาก่อสร้าง
ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานและการฝึกอบรมอาชีวศึกษาของกัมพูชา คาดการณ์ว่า ภายในปี 2569 จะมีผู้มีงานทำในประเทศประมาณ 10.2 ล้านคน การจ้างงานเติบโตเฉลี่ยปีละ 2.5% คิดเป็นการสร้างงานใหม่ 235,000 ตำแหน่งต่อปี โดยภาคที่มีการจ้างงานสูง ได้แก่ การท่องเที่ยว การบริการ การก่อสร้าง อุตสาหกรรม การค้าปลีก การขนส่ง และโทรคมนาคม
อย่างไรก็ตาม ตลาดแรงงานภายในประเทศมักต้องการผู้มีทักษะ เช่น ด้านภาษาอังกฤษ ภาษาจีน การบริการลูกค้าและเทคนิคเฉพาะด้าน ส่งผลให้แรงงานกลุ่มที่ไม่มีทักษะหรือมีอายุมากกว่า 35 ปีเข้าถึงงานยากขึ้น
ตาอ้วน แรงงานชาวกัมพูชาที่ทำงานเฝ้าบ่อกุ้งในไทย ระบุว่า ค่าจ้างแรงงานในกัมพูชาต่ำมาก ได้วันละไม่ถึง 100 บาท ขณะที่การทำงานในไทยให้รายได้มั่นคงกว่าและมีความเป็นอยู่ดีกว่า
ในกัมพูชามีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากกระจุกตัวในเมืองใหญ่ เช่น จังหวัดกำปงสปือ ซึ่งเป็นจังหวัดอุตสาหกรรมหลัก มีตำแหน่งงานว่าง 23,000 ตำแหน่ง จากทั้งหมด 200,000 ตำแหน่งทั่วประเทศ แต่ส่วนใหญ่ต้องการแรงงานอายุน้อยและมีการศึกษาระดับมัธยมขึ้นไป
รายงานประจำปีของกระทรวงอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมกัมพูชา ระบุว่า ปี 2567 มีแรงงานภาคอุตสาหกรรมจำนวน 1,160,181 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 11.52% โดย 73.68% เป็นแรงงานหญิง รวมทั้งมีโรงงานใหม่เปิด 321 แห่ง ปิดกิจการ 26 แห่ง จากโรงงานทั้งหมด 2,425 แห่ง
โรงงานส่วนใหญ่เป็นโรงงานผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป (700 แห่ง) โรงงานผลิตเครื่องหนัง (มากกว่า 300 แห่ง) โรงงานผลิตอาหาร (มากกว่า 100 แห่ง) และโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก (มากกว่า 100 แห่ง)
แม้มีการเปิดรับสมัครจำนวนมาก แต่กระบวนการสมัครงานยังคงมีต้นทุน เช่น ค่าสมัครและฝึกอบรมประมาณ 400-500 บาทต่อคนและมีการคัดเลือกผู้สมัคร ทำให้ผู้ที่อายุเกิน 35 ปี หรือไม่มีทักษะเฉพาะ ยังเข้าไม่ถึงโอกาสการจ้างงาน
ด้านภาคเกษตรกรรมของกัมพูชา มีสัดส่วนการจ้างงานประมาณ 36% ของแรงงานทั้งหมดหรือประมาณ 3 ล้านคน แม้มีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 22% ของ GDP แต่กำลังแรงงานภาคเกษตรลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 74.8% ในปี 2541 เหลือ 30.4% ในปี 2561และยังคงลดลงในปีต่อมา
ธนาคารโลกชี้ว่า สาเหตุสำคัญมาจากการขาดเทคโนโลยีและปัจจัยการผลิตสมัยใหม่ ทำให้ผลผลิตและรายได้ภาคเกษตรต่ำ จึงไม่จูงใจแรงงานรุ่นใหม่ให้อยู่ในระบบ
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชายังคงตึงเครียด และไม่มีข้อยุติเรื่องการรุกล้ำดินแดน โดยผู้นำกัมพูชาภายใต้ตระกูลฮุน พยายามรณรงค์ให้ประชาชนเดินทางกลับประเทศ แต่ในทางปฏิบัติยังมีแรงงานกัมพูชาลักลอบเข้าไทยเพื่อหางานทำอย่างต่อเนื่อง