ศาลตัดสิน อดีตผู้การฯ หนองคาย โดนจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ปมใช้อำนาจ-เอกสารเท็จ
ข่าวสังคม - โซเชียล

ศาลตัดสิน อดีตผู้การฯ หนองคาย โดนจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ปมใช้อำนาจ-เอกสารเท็จ

วันที่ 20 กันยายน 2568 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 169/2567 ระหว่างนายดำรงค์ สงค์ประเสริฐ โจทก์ และ พล.ต.ต.พิรัชย์ จำเลย ในข้อหาปลอมแปลงเอกสาร และใช้เอกสารปลอม ในศาล

ศาลพิพากษาว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์ดำรงตำแหน่งกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจภูธรจังหวัดหนองคายโ ดยได้รับแต่งตังตามคำสังคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัดหนองคาย ที่ 5/2565 ลงวันที่ 17 ส.ค. 2565 มีวาระการดำรงตำแหน่ง 2 ปี จำเลยดำรงตำแหน่ง ผบก.ภ.จว.หนองคาย และเป็นรองประธานกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัดหนองคายคนที่ 1

โดยตำแหน่งตามระเบียบ ก.ต.ช. ว่าด้วยคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ พ.ศ. 2549 มีอำนาจหน้าที่ร่วมกับคณะกรรมการ ตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัดหนองคายโดยตำแหน่งคนอื่นในการพิจารณาสรรหาและคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเสนอประธานกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัดหนองคายเพื่อมีคำสั่งแต่งตั้ง

จำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ หรือปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้โจทก์หรือผู้ใดได้รับความเสียหาย

ด้วยการออกคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อสรรหาคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัดหนองคาย ที่ 1/2567 ให้มีอำนาจและหน้าที่พิจารณาสรรหาและคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อแต่งตั้งในคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัดหนองคาย 10 คน โดยอ้างว่า กรรมการเดิมพ้นจากตำแหน่งในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2566

จงใจไม่อ้างถึงคำสังคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัดหนองคาย ที่ 5/2565 ซึ่งแต่งตั้งโจทก์เป็นกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัดหนองคาย เพื่อไม่ให้คณะอนุกรรมการเพื่อสรรหาคณะกรรมการตรวจสอบ และติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัดหนองคายทราบว่าโจทก์ยังไม่พ้นวาระการดำรงตำแหน่ง ทั้งที่โจทก์ยังคงมีวาระการดำรงตำแหน่งจนถึง วันที่ 17 ส.ค.2567

ต่อมาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 จำเลยทำบันทึกข้อความถึงผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายในฐานะประธานกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัดหนองคาย พร้อมแนบร่างคำสั่งคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามกาบริหารงานตำรวจจังหวัดหนองคาย ที่ 2/2567 เรื่อง แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัดหนองคาย

อ้างว่ากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและประชาชนครบวาระการดำรดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2566 จึงมีการประชุมเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2567 คัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและประชาชนเรียบร้อยแล้วเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายพิจารณาลงนามในร่างคำสั่งดังกล่าว

เป็นเหตุให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ จำเลยมีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์พ้นจากการดำรงตำแหน่งเนื่องจากไม่พอใจที่โจทก์พูดคุยกับจำเลยเรื่องมีการกล่าวอ้างว่าจำเลยเกี่ยวข้องกับการเรียกรับเงิน และกีดกันไม่ให้โจทก์เสนอเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัดหนองคายตามที่โจทก์มีอำนาจหน้าที่ ทำให้โจทก์เสียหาย ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีโจทก์มีมูลให้ประทับรับฟ้องไว้พิจารณา

ชั้นพิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยโดยตลอดแล้ว เห็นว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง จึงมีคำพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 กระทำของจำเลยกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172

ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ลงโทษจำคุก 2 ปี

พิเคราะห์แล้วเห็นว่าความขัดแย้งระหว่างโจทก์จำเลยเกิดจากมีผู้ร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบของบุคคลที่อ้างว่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยแทนที่จำเลยจะแก้ไขปัญหาตามข้อร้องเรียนกลับใช้อำนาจหน้าที่กลั่นแกล้งโจทก์ไม่ให้โจทก์ทำหน้าที่ตรวจสอบ

เมื่อถูกฟ้องคดีต่อศาลและศาลมีหมายเรียกเอกสารมาเพื่อทำการไต่สวนให้ได้ความจริงก็ทำการปลอมแปลงเอกสารราชการเสนอต่อศาลเพื่อให้ตนเองพ้นผิด เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชารู้เห็นความไม่ถูกต้องไม่ยอมทำตามคำสั่งที่มิชอบ จำเลยกลับหาทางกลั่นแกล้งและเล่นงานทุกวิถีทางทั้งทางวินัยและทางอาญา

แม้กระทั่งพยานที่เป็นเจ้าพนักงานตำรวจมาศาลตามหมายเรียกจำเลยก็ทำหนังสือร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของบุคคลเหล่านั้นว่าไม่มีหน้าที่และไม่ได้รายงานผู้บังคับบัญชาในการมาเบิกความต่อศาลทำให้ผู้บังคับบัญชาให้พยานที่มาศาลตามหมายเรียกชี้แจงภายใน 15 วัน ทั้งที่พยานดังกล่าวมาทำหน้าที่ตามหมายเรียกของศาลที่มีอำนาจพิจารณาตามกฎหมาย แสดงว่าจำเลยไม่เคยสำนึกถึงการกระทำของตนเองจึงไม่สมควรรอการลงโทษจำเลย