จากกรณี แพรรี่ ไพรวัลย์ อดีตพระนักเทศน์ชื่อดัง เปิดเผยผ่านโซเชียลว่ามีรายได้ 17,100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 552,842 บาท พร้อมโพสต์ข้อความขอบคุณ เจ๊มาลี กับลุงวุ้นเส้น โดยระบุว่า เดือนนี้ด่า 2 คนนี้ฉ่ำมาก ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะจาก อาจารย์ปวิน นักวิชาการด้านการเมือง ที่มองว่าเป็นการอวดรายได้จากการโหมไฟชาตินิยมและสร้างความเกลียดชัง พร้อมติงว่าควรคิดถึงหัวอกครอบครัวที่ต้องสูญเสียจากความขัดแย้งบ้าง
โพสต์ดังกล่าว
ต่อมา อาจารย์ปวิน ได้โพสต์เพิ่มเติม แสดงความเห็นเกี่ยวกับปัญหาทางการศึกษาของสถาบันหลักในไทย โดยเฉพาะสถาบันทหารที่ล้มเหลวทั้งในแง่ของความเข้าใจบทบาทที่แท้จริงของกองทัพ และการส่งเสริมประชาธิปไตย ก่อนจะขยายความไปถึงสถาบันสงฆ์ว่า แม้จะมีการศึกษาระดับสูง เช่น เปรียญ 9 แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้เรียนจะเข้าใจและปฏิบัติตามหลักธรรมอย่างแท้จริง
พร้อมกันนี้ อาจารย์ปวิน ระบุว่า แก่นสำคัญของพระพุทธศาสนาคือความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ความสงสารในทุกชีวิต และการไม่เบียดเบียน แต่กรณีของไพรวัลย์ ซึ่งเคยผ่านการศึกษาสูงสุดทางสงฆ์ กลับมีทัศนคติส่งเสริมสงคราม และมองการเสียชีวิตของเพื่อนมนุษย์เป็นช่องทางสร้างรายได้ จึงขัดแย้งกับคำสอนอย่างสิ้นเชิง และทำให้เกิดคำถามว่าการศึกษาสงฆ์ที่เข้มข้นนั้นมีเป้าหมายเพื่ออะไร หากไม่สามารถหล่อหลอมจิตสำนึกให้ยึดมั่นในขันติและสันติภาพได้
อีกทั้งยังชี้ว่า ความรู้ทางธรรมมิได้เท่ากับความเป็นธรรม ความสามารถในการอธิบายหลักธรรมขั้นสูงอาจอยู่คนละส่วนกับการปฏิบัติจริงในชีวิต ซึ่งเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ความล้มเหลวนี้จึงเป็นทั้งปัญหาระดับบุคคลและภาพสะท้อนของระบบที่ไม่สามารถทำให้ผู้เรียนหลุดพ้นจากอวิชชาและโทสะได้
ในโพสต์ถัดมา อาจารย์ปวิน ได้ขยายประเด็นเกี่ยวกับความสุดโต่งและความรุนแรงในพุทธศาสนา โดยยกตัวอย่างอดีตในช่วงสงครามเย็น ที่พระกิตติวุฑโฒเคยกล่าวว่า x่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้ความรุนแรง และเชื่อมโยงมาถึงปัจจุบันว่า ไพรวัลย์ก็ผลิตซ้ำวาทกรรมลักษณะเดียวกัน จากการโพสต์เรียกร้องให้ไทยโจมตีกัมพูชา หรือแสดงความยินดีเมื่อทหารกัมพูชาถูกสังหาร
โพสต์ดังกล่าว
แม้ปัจจุบันไพรวัลย์จะเป็นฆารวาส แต่อาจารย์ปวินมองว่ายังสะท้อนความล้มเหลวของการศึกษาสงฆ์ เพราะคนที่เคยเรียนเรื่องความเมตตากลับ เลี้ยวขวา และมีแนวคิดแบบสุดโต่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องตั้งคำถามว่าทำไมอดีตพระบางคนจึงกลายเป็น fundamentalist หรือ extremist กระหายสงคราม
อีกประเด็นที่อาจารย์ปวินได้กล่าวถึง คือ การศึกษาของพระสงฆ์ที่มุ่งเน้นเฉพาะทางธรรม โดยขาดการเชื่อมโยงกับวิชาการทางโลก เช่น ประวัติศาสตร์ การเมือง และวัฒนธรรม ทำให้ขาดความเข้าใจเชิงลึกต่อความขัดแย้งระหว่างประเทศ เขามองว่าหากพระหรือผู้บวชเรียนมีความรู้รอบด้าน จะสามารถมองความขัดแย้งในหลายมิติ และหลีกเลี่ยงการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของชาตินิยมสุดโต่ง
โพสต์ดังกล่าว
สุดท้าย อาจารย์ปวิน ได้วิจารณ์ถึงการใช้ความขัดแย้งในเชิงพาณิชย์ โดยมองว่ากรณีไพรวัลย์เป็นตัวอย่างชัดเจนว่าสงครามและความตึงเครียดสามารถถูกเปลี่ยนเป็นรายได้ในยุคดิจิทัล อินฟลูเอนเซอร์บางคนใช้สถานการณ์เหล่านี้เพื่อสร้างเนื้อหาเรียกยอดไลก์และยอดวิว ซึ่งสะท้อนทั้งการขาดความเห็นอกเห็นใจและความเสื่อมถอยของจริยธรรมสื่อ พร้อมเตือนว่าการทำเช่นนี้อาจยืดเยื้อความขัดแย้งเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว มากกว่ามุ่งหาทางออกอย่างแท้จริง
เรียบเรียงโดยทีมข่าวสยามนิวส์