เมื่อเวลา 06.45 น. วันที่ 18 ธันวาคม 2568 เกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญภายในซอยแห่งหนึ่งในอำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เมื่อรถกระบะรับส่งนักเรียนเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้าอย่างรุนแรงจนเสาหักร้าว สภาพหน้ารถพังยับเยิน ส่งผลให้เด็กนักเรียนระดับมัธยมศึกษาได้รับบาดเจ็บรวม 14 ราย โชคดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิต แต่คนขับรถกลับแสดงอาการโวยวายใส่ทั้งครูและผู้สื่อข่าวจนชาวบ้านในพื้นที่ต่างพากันเอือมระอา
หลักฐานจากกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นวินาทีชีวิตขณะที่รถกระบะสีขาวซึ่งบรรทุกนักเรียนมาเต็มคันรถกำลังมุ่งหน้าไปส่งที่โรงเรียน จู่ๆ รถได้เสียหลักพุ่งออกไปทางขวาแล้วอัดเข้ากับเสาไฟฟ้าข้างทางอย่างจัง แรงกระแทกส่งผลให้เสาไฟฟ้าสะเทือนอย่างหนักและทำให้นักเรียนที่นั่งอยู่ท้ายรถเกือบกระเด็นตกลงมา สร้างความตื่นตระหนกให้กับชาวบ้านที่พบเห็นเหตุการณ์เป็นอย่างมาก

เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านฉาง และเจ้าหน้าที่กู้ภัยรุดเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบเด็กนักเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 5 บาดเจ็บรวม 14 ราย โดยมีนักเรียนหญิงในชุดเนตรนารีที่นั่งข้างคนขับได้รับบาดเจ็บหนักที่สุด เนื่องจากศีรษะกระแทกคอนโซลอย่างแรง มีอาการคลื่นไส้ แน่นหน้าอก และปวดหัวอย่างรุนแรง นอกจากนี้ยังมีนักเรียนอีก 2 รายที่มีอาการแน่นหน้าอก ซึ่งผู้ปกครองได้รีบมารับตัวส่งโรงพยาบาลด้วยตนเอง ส่วนนักเรียนที่เหลืออีก 11 รายได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย มีแผลถลอกตามร่างกาย เจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงเร่งนำส่งโรงพยาบาล และบางส่วนได้เดินทางกลับบ้านด้วยความเสียขวัญ
สถานการณ์ในที่เกิดเหตุเริ่มตึงเครียดขึ้น เมื่ออาจารย์รายหนึ่งจากโรงเรียนที่เกิดเหตุเดินทางมาดูอาการของลูกศิษย์และพยายามสอบถามถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งตักเตือนให้คนขับเพิ่มความระมัดระวัง แต่คนขับรถกลับโวยวายใส่ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว โดยเจ้าตัวอ้างว่าถนนเส้นนี้ไม่สามารถขับรถเร็วได้ ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ให้ข้อมูลขัดแย้งกับคำกล่าวอ้างของคนขับ โดยระบุว่าในตอนแรกคนขับบอกว่าขับมาด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ต่อมากลับบอกเจ้าหน้าที่กู้ภัยว่าขับเพียง 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งขัดกับสภาพรถที่ชนอัดเสาไฟฟ้าจนหักร้าวที่แสดงให้เห็นว่าขับมาด้วยความเร็วแน่นอน
นอกจากนี้ ในระหว่างที่ลงพื้นที่ปฏิบัติหน้าที่ คนขับรถยังแสดงอาการไม่พอใจ ตะโกนห้ามถ่ายภาพและขู่ว่าจะฟ้องร้อง จนภรรยาของคนขับต้องเข้ามาช่วยห้ามปรามและพยายามทำให้คนขับสงบสติอารมณ์ เบื้องต้นคนขับอ้างกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีรถตัดหน้าจึงทำให้เสียหลักพุ่งชน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบใบอนุญาตขับขี่และรวบรวมหลักฐานจากกล้องวงจรปิด
ซึ่งพบว่ามีความขัดแย้งกับคำให้การในหลายจุด โดยหลังจากนี้จะรอผลใบรับรองแพทย์ของนักเรียนที่บาดเจ็บ เพื่อนำมาประกอบการแจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นอุทาหรณ์ถึงความรับผิดชอบของผู้ขับขี่รถรับส่งนักเรียนที่แบกรับชีวิตของเด็กจำนวนมาก หากมีความระมัดระวังและใช้ความเร็วที่เหมาะสม แม้จะเกิดเหตุฉุกเฉินก็ยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
