จากกรณีกระแสข่าวในโซเชียลที่มีการถกเถียงกัน เกี่ยวกับค่าปรับตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 ที่ทางเทศบาลนครปากเกร็ด จ.นนทบุรี ส่งหนังสือถึงผู้ประกอบการรายย่อยในเขตพื้นที่เทศบาลนครปากเกร็ด ให้ไปเสียค่าปรับ โดยพบว่ามีผู้ประกอบรายย่อยบางรายถูกเรียกค่าปรับตั้งแต่ 90,000 บาท ไปจนถึง 159,000 บาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงมากเมื่อเทียบกับรายได้ของผู้ประกอบการแต่ละราย
เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 21 ต.ค. 68 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ชุมชนแห่งหนึ่งภายในซอยอัมพรไพศาล 18 ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี พบนายธวัชชัย หรืออาร์ม เทพสุทิน อายุ 25 ปี และ น.ส.โชติภัทร หรือพุ่ม เทพสุทิน อายุ 25 ปี สองสามีภรรยาผู้ค้าหมูปิ้ง-ไก่ปิ้ง กล่าวว่า ตนเริ่มขายหมูปิ้ง-ไก่ปิ้ง มา 4 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2563 เมื่อหลายเดือนก่อนมีเจ้าหน้าที่จากเทศบาลเข้ามาตรวจสอบและประเมินว่าตนประกอบกิจการไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น การวางถุงไก่สดไว้ที่พื้น หรือกรณีที่มีลูกจ้างมานั่งเสียบไก่หน้าบ้าน หลังจากได้รับคำเตือนตนก็พยายามปรับปรุงแก้ไข ซึ่งทางเทศบาลให้ตนทำบ่อดักไขมันเพิ่ม หลังแก้ไขแล้วได้มีเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบครั้งที่ 2 ก็ไม่ผ่าน ทั้งเรื่องกล่องพัสดุที่ใส่ไก่ไม่ได้คุณภาพ โดยให้คำแนะนำว่าต้องมีตู้แช่อาหารแบบเป็นชั้น และติดตั้งถังดับเพลิงด้วย ตนไม่มีทุนมากพอ จึงตัดสินใจเลิกขายหมูปิ้ง-ไก่ปิ้ง ไปหลายเดือนแล้ว และเปลี่ยนอาชีพมาวิ่งแกร็บแทน
ทางเทศบาลได้เข้ามาตรวจสอบ 2 ครั้ง แต่ไม่เคยเจอตนเลย ส่วนหนังสือแจ้งค่าปรับ เพิ่งส่งมาถึงตนเมื่อวันที่ 2 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ได้มีหนังสือเรียกให้ตนไปรับทราบข้อกล่าวหา ตนเคยเข้าไปสอบถามทางเทศบาลว่าควรต้องทำอย่างไร เจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าหากตนเซ็นรับทราบข้อกล่าวหาจะต้องเสียค่าปรับซึ่งอาจจะไม่มาก และตนก็คิดว่าค่าปรับดังกล่าวจะเป็นจำนวนเงินที่ตนสามารถจ่ายได้ แต่พอมาทราบว่าต้องจ่ายค่าปรับสูงถึง 159,000 บาท ก็รู้สึกว่ามันมากเกินไป 1 ปี ตนยังไม่สามารถหารายได้เท่านี้ได้เลย
ตนใช้หน้าบ้านเป็นที่เตรียมของไปขายกับล้างทำความสะอาดเท่านั้น ไม่ได้ขายหน้าบ้าน ส่วนสาเหตุที่ตนถูกร้องเรียนน่าจะมาจากปัญหาลูกจ้างไม่ถูกกับเพื่อนบ้านใกล้เคียง ซึ่งที่ผ่านมาตนก็ไม่เคยมีปัญหากับใคร ตอนนี้รู้สึกเครียด อยากขอไกล่เกลี่ยหรือลดค่าปรับลง เท่าที่ทราบไม่ได้มีตนแค่คนเดียว ยังมีลุงกับป้าขายข้าวโพดต้มที่โดนค่าปรับ จำนวนเงิน 90,000 บาท ด้วยอีกราย ตอนนี้ลุงกับป้าได้เดินทางกลับบ้านที่จ.มหาสารคาม เพื่อไปตั้งตัว หลังยังคงตกใจกับค่าปรับจำนวนมากที่เทศบาลเรียกเก็บ
น.ส.กัญพร จันทร์หอม อายุ 51 ปี แม่ของนายอาร์ม กล่าวว่า ตนไม่รู้จักลุงกับป้าขายข้าวโพดต้ม แต่พอดีเห็นข่าวเลยสอบถามกับคนในพื้นที่และลองติดต่อดู ซึ่งลุงกับป้าไม่อยู่กลับบ้านที่ต่างจังหวัด และเจอนักข่าวจึงได้สอบถามเพื่อขอความช่วยเหลือ ตอนแรกที่เห็นหนังสือแจ้งค่าปรับจากเทศบาลมาได้เรียกลูกชายและลูกสะใภ้มาดู สามีตนพอทราบข่าวก็ทุกข์ใจเพราะไม่มีเงิน ครอบครัวก็ทุกข์ใจ หาทางออกไม่เจอ เพราะเงินค่าปรับเป็นจำนวนเงินที่เยอะมาก ขนาดเงิน 2,000-3,000 บาท ที่ต้องหาไว้จ่ายค่ารถจยย.ทุกเดือนยังไม่มีเลย ตอนนี้ก็หยุดขายหมูปิ้ง, ไก่ปิ้งมานานแล้ว ลูกชายก็หันไปรับจ้างวิ่งแกร็บแทน ตนไม่ได้อยากให้เป็นข่าวดัง อยากไกล่เกลี่ยกับทางเทศบาลให้เสียค่าปรับน้อยลงเพราะเราทำมาหากิน เราเป็นคนชนชั้นล่าง ค่าปรับสูงเท่านี้ตนจ่ายไม่ไหวแน่นอน
ทางด้าน ป้าอี๊ด อายุ 70 ปี เพื่อนบ้านที่ร้องเรียน กล่าวว่า ตนมีปัญหากับลูกจ้างของบ้านที่ขายหมูปิ้ง-ไก่ปิ้ง ที่อยู่ติดกับบ้านของตน ตนจึงร้องเรียนไปที่เทศบาล จากนั้นมีเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบและพบว่าบ้านหลังที่ขายหมูปิ้ง-ไก่ปิ้ง เปิดกิจการโดยไม่ขออนุญาต ซึ่งมีความผิดตามกฎหมาย และความผิด พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม โดยมีการนั่งเสียบหมูหน้าบ้าน และสูบบุหรี่ ที่ผ่านมาตนไม่เคยเข้ามาพูดคุยกับคู่กรณีเพราะทุกคนรุมต่อว่าตน ซึ่งตนมองว่ามันไม่ใช่ความผิดของตน ถ้าบ้านที่ขายหมูปิ้ง-ไก่ปิ้ง เลิกกิจการหรือย้ายไปที่อื่นก็จะไม่เกิดปัญหาอะไร เพราะบ้านมีไว้เพื่ออยู่อาศัยไม่ใช่เพื่อประกอบกิจการ ตนมองว่าจะทำอะไรก็ทำไปแต่มันก่อความเดือดร้อนให้ตน และที่ผ่านมาก็ไม่เคยแก้ปัญหาให้ รวมถึงลูกจ้างที่บ้านติดกับตนเคยด่าตนหยาบคาย และทำร้ายร่างกายตนด้วย
นายวัชรัตน์ ตาสอน ผู้แทน สส.จังหวัดนนทบุรี พรรคประชาชน กล่าวว่า ตนเป็นตัวแทนในนาม สส. ในเขตพื้นที่ ที่มีผู้เสียหายได้รับความไม่เป็นธรรม พร้อมทั้งสำรวจความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในละแวกใกล้เคียง เบื้องต้นทราบว่าค่าปรับดังกล่าวไม่ได้สัดส่วนจริงๆ และทางผู้เสียหายได้มีการแก้ไข ปรับปรุงอยู่ตลอดมา ในนามของตัวแทน สส. จะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ส่วนกรณีเงินค่าปรับที่มีมูลค่ากว่า 159,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่น้อย เท่าที่พอจะทราบมาค่าปรับควรอยู่ที่จำนวน 30,000-40,000 บาท เท่านั้น หรือในความเป็นจริงในแง่เศรษฐกิจแบบนี้ ประชาชน พ่อค้าแม่ขาย คนหาเช้ากินค่ำ ทางเทศบาลหรือหน่วยงานท้องถิ่นควรที่จะต้องมีการปรับให้พอสมควร
ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่สำนักงานเทศบาลนครปากเกร็ด เพื่อสอบถามนางปริญดา เชาว์อรัญ รองปลัดเทศบาลนคร ปากเกร็ด รักษาราชการแทนปลัดเทศบาล นครปากเกร็ด กล่าวว่า เมื่อเดือนเมษายนถึงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จังหวัดนนทบุรีได้มีการจัดประชุมเกี่ยวกับผู้ประกอบการรายย่อยในเขตพื้นที่ เมื่อมีการพิจารณาเอกสารครบถ้วนและมีมติให้ทางเทศบาลนครปากเกร็ดดำเนินการตามมติที่ประชุมของคณะกรรมการระดับจังหวัด โดยมีหนังสือตอบกลับมาที่เทศบาลนครปากเกร็ด เมื่อวันที่ 15 ก.ย. ที่ผ่านมา ลงนามโดยนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี
กรณีของคุณธวัชชัยฯ ที่ขายหมูปิ้ง-ไก่ปิ้ง มีความผิด 3 ฐานด้วยกัน ฐานแรกคือการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยไม่ได้รับอนุญาต ผิด พ.ร.บ.สาธารณสุข ตามมาตรา 38 และ มาตรา 72 ซึ่งมีค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 37,500 บาท ต่อมาเจ้าพนักงานท้องถิ่นมีหนังสือแจ้งให้หยุดประกอบกิจการแต่ยังคงฝ่าฝืนคำสั่ง ซึ่งต้องถูกปรับตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข มาตรา 45 ประกอบมาตรา 80 ซึ่งมีค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 37,500 บาท รวม 2 ฐาน จะต้องถูกปรับเป็นจำนวนเงิน 75,000 บาท
ซึ่งต่อมายังดำเนินกิจการอย่างต่อเนื่อง และฝ่าฝืนคำสั่ง ไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข ทำให้ถูกปรับเป็นรายวัน กรณีนี้ทางจังหวัดจึงพิจารณาว่าเหตุที่ฝ่าฝืนดำเนินการโดยที่แจ้งให้หยุดประกอบกิจการก็ไม่ปฏิบัติตามและไม่มาขออนุญาต รวมทั้งยังดำเนินกิจการอย่างต่อเนื่อง ทางจังหวัดจึงพิจารณาให้มีค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 3,000 บาทต่อวัน ก็ถูกปรับในส่วนนี้เพิ่ม 28 วัน เป็นจำนวนเงิน 84,000 บาท ยอดรวมทั้งหมด 159,000 บาท ซึ่งค่าปรับในส่วนนี้ทางเทศบาลนครปากเกร็ดไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง
เทศบาลถือเป็นคนกลางที่จะใกล้ชิดกับประชาชน ทั้งผู้ร้องเรียนและผู้ถูกร้องเรียน ส่วนจังหวัดก็มีหน้าที่พิจารณาฐานความผิดและฐานความรุนแรงว่าส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยหรือไม่ สร้างความเดือดร้อนในวงกว้างหรือในวงแคบ และคณะกรรมการระดับจังหวัดถึงจะมีมติออกมาว่าจะปรับในแต่ละรายเท่าไหร่ การที่ส่งหนังสือให้กับทางผู้ประกอบการ ผู้ถูกร้อง เราจะแจ้งสิทธิ์ว่าสามารถอุทธรณ์ได้หากไม่เห็นด้วย ซึ่งก็จะพิจารณาตามเหตุแห่งความเดือดร้อนที่ประชาชนได้รับ
การที่เทศบาลดำเนินการและมีประชาชนที่ถูกปรับและได้รับความเดือดร้อนด้านการเงิน ทางเทศบาลก็ไม่สบายใจ เพราะว่าเงินจำนวนนี้ถือเป็นเงินจำนวนไม่น้อย แต่อยากขอความเห็นใจว่าถ้าหากไม่ทำจะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะในเมื่อมีผู้ร้อง ผู้ได้รับความเดือดร้อน เทศบาลเป็นคนของประชาชน เป็นข้าราชการก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนเองตามระเบียบกฎหมาย ซึ่งระเบียบกฎหมายมีไว้เพื่อให้บ้านเมืองอยู่กันได้อย่างปกติสุข
เบื้องต้น จากข้อมูลที่ทางเทศบาบนครปากเกร็ดได้รับการร้องเรียนเหตุเดือดร้อนรำคาญ โดยเฉลี่ย 1 ปี มีจำนวน 800 ราย ปีงบประมาณที่ผ่านมา มีประมาณ 500 ราย ที่มีเหตุลักษณะนี้ สามารถดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบ และสามารถไกล่เกลี่ยได้ประมาณ 485 ราย โดยมี 15 ราย ที่ยังไม่เข้าใจระเบียบกฎหมายและไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งในปัจจุบันทางเทศบาลนครปากเกร็ดเพิ่งมีการปรับลักษณะนี้ 6 รายแรก ทั้งนี้ยินดีที่จะไกล่เกลี่ยและไม่อยากมีปัญหากับประชาชน
ผู้สื่อข่าวจังหวัดนนทบุรี รายงาน