วิกฤตลุ่มน้ำกก! กรมทรัพยากรน้ำเร่งแก้ปัญหาด่วน ก่อนส่งผลกระทบต่อประชาชน
ข่าวภูมิภาค

วิกฤตลุ่มน้ำกก! กรมทรัพยากรน้ำเร่งแก้ปัญหาด่วน ก่อนส่งผลกระทบต่อประชาชน

วันที่ 10 ตุลาคม 2568 นายธีระชุณ บุญสิทธิ์ อธิบดี กรมทรัพยากรน้ำ เปิดเผยว่า หลังจาก นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ลงพื้นที่จังหวัด เชียงใหม่-เชียงราย เพื่อติดตามปัญหาคุณภาพน้ำใน ลุ่มน้ำกก กรมทรัพยากรน้ำได้วางแผนดำเนินงานแบ่งเป็น 3 ระยะหลัก เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

ระยะเร่งด่วน - การติดตามสถานการณ์น้ำแบบเรียลไทม์

ในระยะนี้ กรมทรัพยากรน้ำได้ ติดตั้งกล้อง CCTV 2 จุด ได้แก่

- สะพานพ่อขุนเม็งรายมหาราช จ.เชียงราย

- สะพานแม่นาวางท่าตอน จ.เชียงใหม่

การติดตั้งกล้อง CCTV จะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถ ติดตามระดับน้ำและคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ ซึ่งสำคัญต่อการ แจ้งเตือนภัยน้ำท่วมและมลพิษทางน้ำ ในพื้นที่ และเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนแก้ไขปัญหาน้ำในระยะสั้น

ระยะกลาง - การก่อสร้างระบบกระจายน้ำและสนับสนุนอุปโภค-การเกษตร

ในระยะกลาง กรมทรัพยากรน้ำวางแผน ก่อสร้างระบบกระจายน้ำ เพื่อสนับสนุนการอุปโภคและการเกษตร พร้อมติดตั้ง CCTV เพิ่มเติม 3 โครงการ ได้แก่

- ระบบกระจายน้ำหนองไคร้คราง สนับสนุนประปาบ้านสันไทรงาม อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย

คาดว่าระยะกลางนี้จะช่วย ผู้ได้รับประโยชน์กว่า 200 ครัวเรือน ทั้งด้านการอุปโภคและเกษตรกรรม โดยลดปัญหาการขาดแคลนน้ำและคุณภาพน้ำที่ไม่เหมาะสมต่อการบริโภค

ระยะยาว - การศึกษาและสร้างฝายดักตะกอน

ในระยะยาว กรมทรัพยากรน้ำจะ ศึกษาความเป็นไปได้และรับฟังความคิดเห็นประชาชน ในการก่อสร้าง ฝายดักตะกอน เพื่อช่วยลดตะกอนและสารปนเปื้อนลงสู่ แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย การมีส่วนร่วมของประชาชนจะช่วยให้โครงการมี ความยั่งยืนและตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง

นายธีระชุณ ระบุว่า นายสุชาติ ได้สั่งการให้กรมทรัพยากรน้ำ เร่งขับเคลื่อนทุกโครงการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปีงบประมาณ 2569 เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับน้ำที่สะอาด ปลอดภัย และเพียงพอต่อการอุปโภค–บริโภค รวมถึงการเกษตร

นักวิชาการด้านทรัพยากรน้ำชี้ว่า การดำเนินงาน 3 ระยะนี้ไม่เพียงช่วย ควบคุมคุณภาพน้ำและลดปัญหามลพิษ แต่ยังเป็นตัวอย่างของ การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ ที่เชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานรัฐและประชาชน เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำอย่างยั่งยืน