ด.ญ. ป.6 น้ำตานองหน้า ครูบังคับรับผิดใช้ไวไฟโรงเรียน หวาดกลัวร้องไห้หนัก ไม่อยากไปเรียน
ข่าวภูมิภาค

ด.ญ. ป.6 น้ำตานองหน้า ครูบังคับรับผิดใช้ไวไฟโรงเรียน หวาดกลัวร้องไห้หนัก ไม่อยากไปเรียน

ผู้ปกครองนักเรียนหญิงชั้น ป.6 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรม หลังลูกสาวถูกครูผู้ชายซึ่งเป็นครูประจำชั้น ขู่ตะคอกและบังคับให้ยอมรับว่าแอบนำรหัสไวไฟของโรงเรียนไปใช้ จนเด็กเกิดความหวาดกลัวและมีอาการซึมเศร้าไม่อยากไปโรงเรียน ผู้ปกครองหวั่นกระทบสภาพจิตใจของลูก ด้าน ผอ.โรงเรียนเผยเตรียมเรียกทุกฝ่ายมาสอบถามข้อเท็จจริงเพื่อให้ความเป็นธรรม

เหตุการณ์นี้ถูกเปิดเผยโดย ผู้ปกครองของ ด.ญ.เอ (นามสมมติ) ซึ่งเป็นนักเรียนชั้น ป.6 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.นางรอง โดยเธอกล่าวว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา หลังจากไปรับลูกที่โรงเรียนก็พบว่าลูกสาวกำลังร้องไห้ เมื่อกลับมาถึงบ้านจึงสอบถามจนทราบว่าลูกถูกครูประจำชั้นตะคอกและบังคับให้ยอมรับเรื่องการเข้ารหัสไวไฟของโรงเรียน

ลูกบอกว่าเพื่อนเป็นคนทำให้ และลูกก็มีเน็ตมือถือของตัวเองอยู่แล้ว ไม่ได้ใช้ไวไฟของโรงเรียน แต่ครูไม่ฟัง กล่าวหาว่าลูกโกหกจนลูกร้องไห้ไม่หยุด ผู้ปกครอง กล่าวพร้อมแสดงคลิปวิดีโอที่เพื่อนของลูกสาวบันทึกไว้ ซึ่งแสดงให้เห็นเหตุการณ์ขณะที่ครูกำลังตะคอกลูกสาวอย่างรุนแรง

ผู้ปกครองยอมรับว่าในคลิปบางช่วงลูกสาวมีการโต้ตอบครูด้วยถ้อยคำไม่เหมาะสม แต่เชื่อว่าเป็นการตอบโต้เพราะถูกกดดันจนทนไม่ไหว ซึ่งตนเองก็ได้ตักเตือนลูกไปแล้ว

ด้าน ผู้ปกครอง ยังระบุอีกว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดปัญหา ก่อนหน้านี้ครูคนดังกล่าวเคยนำผลงานของลูกสาวไปให้นักเรียนคนอื่นเซ็นชื่อเป็นเจ้าของผลงาน พอไปถามก็ถูกครูตอบกลับมาว่า จะทำแล้วจะทำไม ซึ่งครั้งนั้นได้มีการแจ้ง ผอ.โรงเรียนไปแล้ว และเรื่องก็เงียบไป

จากเหตุการณ์ล่าสุด ผู้ปกครองได้แจ้งเรื่องและส่งคลิปให้กับ ผอ.โรงเรียนแล้ว แต่ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร และด้วยความกังวลว่าหากปล่อยไว้ลูกสาวจะถูกทำร้ายจิตใจอีก เพราะตอนนี้ลูกมีอาการซึมเศร้าและไม่อยากไปโรงเรียนเพราะกลัวครูคนดังกล่าว เธอจึงอยากให้ทางผู้บริหารโรงเรียนออกมาชี้แจงและดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม

ในส่วนของ ผอ.โรงเรียน ให้ข้อมูลทางโทรศัพท์กับผู้สื่อข่าวว่า ได้รับทราบเรื่องและดูคลิปเบื้องต้นแล้ว และในวันนี้จะมีการเรียกเด็กนักเรียน ครูที่ถูกกล่าวหา และผู้ปกครองมาพูดคุยสอบถามข้อเท็จจริงร่วมกัน เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย