เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า ความผิดพลาดครั้งใหญ่ ผมเห็นข่าวคุณธนาธรให้สัมภาษณ์ในรายการของคุณสรยุทธ จึงอยากสื่อสารกับคุณธนาธรเพื่อความเข้าใจ ผมมีความบริสุทธิ์ใจที่จะส่งผ่านบทความนี้ให้ ส่วนจะเห็นด้วยหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่คุณธนาธร อีก 50 กว่าวันคงรู้ผลการเลือกตั้งอย่างที่คุณธนาธรพูดเอาไว้
โดยคุณธนาธรเชื่อว่ารัฐธรรมนูญปี 60 เป็นต้นตอของปัญหาความแตกแยกในสังคม จึงตกลงกับ “ผู้ถือกุญแจ” คือพรรคภูมิใจไทยที่คุณธนาธรเชื่อว่า เป็นพรรคเดียวที่ไขกุญแจ ส.ว. ได้ แต่กลับไม่เอะใจเลยว่า ผู้ถือกุญแจเขาไม่ได้อยากเสียบกุญแจบิดให้
แม้รู้ว่า “เสี่ยง” แต่ต้องขอลอง ซ้ำยังเชื่ออีกว่า แม้พลาดจากการเสี่ยง ประชาชนจะให้โอกาสในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคประชาชนจะได้คะแนนเสียงมากขึ้น คุณธนาธรไม่ได้แสดง “วิสัยทัศน์“ ที่เข้าใจระบบการเมืองไทยดีพอ แต่ยังคงยึดมั่นถือมั่นกับการตัดสินใจด้วยมุมมองทางการเมืองในอุดมคติของตัวเอง แม้พลาดกับพรรคภูมิใจไทยที่ควรทำให้เติบใหญ่ขึ้น แต่ท่าทีของคุณธนาธรยังไม่ได้ยอมรับในความผิดพลาด กลับทำเหมือนนักการเมืองทั่วไป ที่ต้องออกตัวขึงขังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนมากกว่าเก่าอีก
ผมมีความปรารถนาดีที่เตือนพรรคประชาชนตั้งแต่ต้นว่า นี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่เลือกคุณอนุทิน เพียงแต่คุณธนาธรดื้อรั้นอยากลองเสี่ยงเอง ผลลัพธ์จึงเป็นอย่างที่ผมคาดไว้ทุกประการนอกจากแก้รัฐธรรมนูญไม่สำเร็จ พรรคประชาชนยังได้รับผลเสียหายที่เกิดขึ้น แถมไปทำให้พรรคภูมิใจไทยมีแต้มต่อในการเลือกตั้งครั้งหน้า ด้วยการได้เป็นพรรครัฐบาล โยกย้ายข้าราชการ อนุมัติงบประมาณ ดูดบ้านเล็กบ้านใหญ่เข้าเต็มพรรค สร้างกระแสชาตินิยมเพื่อหวังกลับมาเป็นแกนนำรัฐบาลอีกครั้ง และผมยังคาดต่อไปได้ว่า ”พรรคประชาชนจะต้องได้บทเรียนราคาแพงจากการเลือกตั้งครั้งหน้านี้ด้วย
ดังนั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ผมจะพยากรณ์ไว้ว่า “พรรคประชาชนจะได้จำนวน ส.ส. ต่ำกว่า 100” ด้วยการเดินหมากผิดพลาดจากผลลัพธ์ของความเสี่ยง ที่ผมเคยย้ำไปแต่แรกแล้วว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย”
พรรคประชาชนคิดจะแก้รัฐธรรมนูญด้วยการใช้ทางลัด แต่ความเป็นจริงคุณธนาธรย่อมต้องรู้ว่า ที่ผ่านมาการแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องใหญ่ ต้องทำให้นักการเมือง ส.ส. และ ส.ว. เห็นพ้องต้องกัน ไม่ใช่เรื่องที่พรรคประชาชนจะทำได้ด้วยตัวเองแล้วถือเอาเป็นผลงาน หรือแม้แต่คิดจะใช้วิธีจับมือบังคับให้คนถือกุญแจไปแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่ตัวเองต้องการได้
มันจึงเป็น “ความผิดพลาดครั้งใหญ่” ไม่ใช่ “การประนีประนอมครั้งใหญ่” เพราะการบังคับให้พรรคภูมิใจไทยทำตามใจตัวเอง แลกกับตำแหน่งนายกฯ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ไม่ได้มีเจตนาบริสุทธิ์ในการกระทำแต่อย่างใด
นี่ต่างหากคือ “หัวใจ“ ที่คุณธนาธรมองอย่างคนไม่เข้าใจ จึงส่งผลอย่างรุนแรงต่อพรรคประชาชน จากผลโพลยังมีคนไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเลือกพรรคไหนอีกเป็นจำนวนมาก ผลการเลือกตั้งจะบอกคุณธนาธร และพลพรรคประชาชนเอง เพราะแม้ว่าผมเป็นเพียงเสียงเดียวที่เคยเลือกพรรคก้าวไกล และออกมาวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของพรรคประชาชน แต่เชื่อว่า “กระแสได้เปลี่ยนทิศ” แล้ว
การเลือกตั้งครั้งหน้าไม่ว่า “กลยุทธ์การตลาด“ ของพรรคประชาชนจะเป็นอย่างไร หากพรรคการเมืองคือสินค้าชนิดหนึ่งที่ให้ผู้บริโภคได้ทดลองใช้ดู เมื่อทดลองแล้วไม่ได้เป็นอย่างที่โฆษณา จะให้ไปลองใหม่คงไม่มีแล้ว
ตอนนี้พรรคประชาชนไม่ใช่ “ของใหม่” อีกต่อไป จะให้ประชาชนไปลองเลือกใช้อีกทั้ง ๆ ที่เห็นอยู่ทนโท่ว่าที่ผ่านมาใช้ไม่ได้ ทำอะไรสำคัญๆ ผิดพลาดหมด แม้แต่เรื่องที่ตัวเองคิดว่าสำคัญอย่างการแก้รัฐธรรมนูญยังพลาด จากการไปบังคับพรรคอย่างภูมิใจไทยให้ทำในสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่ในหัวแม้แต่นิด ใครๆ ก็รู้ แต่พรรคประชาชนกลับไม่รู้ ซ้ำยังเมินเฉยต่อคำติติงของผู้ที่หวังดี
ท้ายสุดเมื่อพลาดแล้ว ก็ยังทำท่าทีว่าตัวเองไม่ผิด แค่นี้ก็รู้แล้วว่า หากเลือกอีก ประชาชนเรียกว่า “เสียของ”