สะเทือนทั้งระบบ! ค่ายสฤษดิ์เสนา สั่งลงดาบครูฝึกแล้ว หลังพลทหารดับปริศนาในค่าย
ข่าวการเมือง

สะเทือนทั้งระบบ! ค่ายสฤษดิ์เสนา สั่งลงดาบครูฝึกแล้ว หลังพลทหารดับปริศนาในค่าย

วันที่ 4 ธันวาคม 2568 มีรายงานว่า มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เปิดเผยความคืบหน้าว่า เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 เวลา 13.00 น. ตัวแทนมูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF) เข้าร่วมการประชุมกับคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค สมาชิกวุฒิสภา พร้อมรับฟังคำชี้แจงข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่ทหาร สังกัดหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ หน่วยฝึกกรมรบพิเศษที่ 4 กรมรบพิเศษที่ 4 จังหวัดพิษณุโลก กรณีพลทหาราเชน ยวามื่อ เสียชีวิตภายในค่ายทหาร เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 หลังจากเข้ารับการฝึกไม่ถึง 10 วัน

ในการประชุม กมธ.พัฒนาการเมืองฯ วุฒิสภานี้ ประกอบด้วยตัวแทนมูลนิธิผสานวัฒนธรรมและทนายความผู้รับมอบอำนาจของมารดาของผู้เสียชีวิต, อัยการ, เจ้าหน้าที่ทหารกรมรบพิเศษที่ 4 ค่ายสฤษดิ์เสนา ซึ่งเป็นต้นสังกัดของพลทหารราเชน เข้าให้ข้อมูลเกี่ยวกับลำดับเหตุการณ์การรับตัวพลทหารใหม่ การอบรม การฝึก การประเมินเรื่องสุขภาพ จนถึงวันที่พลทหารราเชน ยวามื่อ เสียชีวิต และได้ชี้แจงถึงรายละเอียดที่ค่าย ได้เปิดเผยข้อมูลให้หน่วยงานรัฐ อาทิ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) , กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และพนักงานอัยการ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ จ.พิษณุโลกและได้เปิดพื้นที่ให้เข้าตรวจสถานที่เกิดเหตุภายในค่ายอีกด้วย

นอกจากนี้ตัวแทนจากค่ายสฤษดิ์เสนาได้ชี้แจงให้ กมธ. การเมืองฯ ทราบด้วยว่า หลังจากเกิดเเหตุทางค่ายไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง และมีคำสั่งลงโทษขังครูฝึกชั้นยศร้อยโทและผบ.กองรักษาการณ์ ชั้นยศจ่าสิบเอก 7 วัน ฐานปล่อยปละละเลย ประมาทเลินเล่อ และบกพร่องต่อหน้าที่ อีกทั้งค่าย ได้ดำเนินการติดกล้องวงจรปิดเพิ่มตามคำแนะนำของ กมธ. การทหารฯ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก

ด้านตัวแทนอัยการจากสำนักงานอัยการสูงสุด ชี้แจงว่ากรณีการเสียชีวิตของพลทหารราเชน อาจจะไม่เข้าเงื่อนไขตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ เนื่องจากพลทหารราเชนไม่ได้เสียชีวิตโดยการควบคุมของเจ้าหน้าที่รัฐ ตามที่ค่ายชี้แจงมา จึงไม่ต้องมีการแจ้งเจ้าหน้าที่ 4 ฝ่าย ได้แก่ พนักงานอัยการ ฝ่ายปกครอง แพทย์ และพนักงานสอบสวน ร่วมชันสูตรพลิกร่าง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

อย่างไรก็ตาม มูลนิธิผสานวัฒนธรรมตั้งข้อสังเกตว่า การพาตัวพลทหารราเชนกลับเข้ามาในค่าย หลังจากหลบหนีการเกณฑ์ทหาร พลทหารราเชนย่อมต้องถูกดำเนินคดีตามกฎระเบียบของทหาร ทว่าค่ายกลับปฏิเสธการควบคุมตัว และอ้างว่าในคืนเกิดเหตุดังกล่าว ได้ฝากตัวพลทหารไว้ที่ห้องรักษาการณ์ของค่ายเท่านั้น แต่ห้องดังกล่าวมีลักษณะเป็นลูกกรง มีเจ้าหน้าที่ทหารคอยเฝ้าตลอดเวลา ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นการควบคุมตัว ตามมาตรา 3 พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ที่รวมถึงการจำกัดเสรีภาพของพลทหารในคืนวันเกิดเหตุ

หากพบว่าการเสียชีวิตของพลทหารราเชนมีลักษณะเป็นการควบคุมตัว จะต้องมีการตั้งสำนวนไต่สวนการเสียชีวิต เพื่อพิสูจน์ว่า การเสียชีวิตดังกล่าวเกิดขึ้นด้วยสาเหตุใด และอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่รัฐคนใด ดังนั้นการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องแสวงหาข้อเท็จจริงต่อไป

คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้รับแจ้งเหตุจากเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือว่าพลทหารราเชน ยวามื่อ ทหารกองประจำการผลัดที่ 2/2568 สังกัดหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ หน่วยฝึกกรมรบพิเศษที่ 4 กรมรบพิเศษที่ 4 จังหวัดพิษณุโลก เสียชีวิตภายในค่ายทหาร หลังจากเข้ารับการฝึกไม่ถึง 10 วัน

จากนั้นทางมูลนิธิจึงร้องเรียนต่อศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ในพื้นที่เกิดเหตุ พร้อมพูดคุยกับครอบครัวของผู้เสียชีวิต ทราบว่าครอบครัวยังติดใจสาเหตุการเสียชีวิตและต้องการทราบความจริงที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนการเสียชีวิต จึงนำมาสู่การพยายามแสวงหาข้อเท็จจริงโดยหน่วยงานต่าง ๆ

การเสียชีวิตของพลทหารราเชน ไม่ใช่กรณีการเสียชีวิตของทหารเกณฑ์ครั้งแรก แต่แทบทุกปีที่มีการเกณฑ์ทหาร มักจะมีการสูญเสียเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แม้ทางกองทัพจะพยายามออกมาตรการในการป้องกันเหตุ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถยุติปัญหานี้ได้ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่มาตรการป้องกันต่าง ๆ ยังไม่สามารถเข้าถึงและแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด

มูลนิธิผสานวัฒนธรรมจึงขอเชิญชวนสื่อมวลชนและประชาชนที่สนใจ ร่วมกันติดตามกรณีของพลทหารราเชน อย่างใกล้ชิด รวมถึงกรณีพลทหารอื่น ๆ ที่เสียชีวิตภายในค่ายทหาร เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีการค้นหาความจริงโดยละเอียด และหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิดก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด เพื่อนำไปสู่การป้องปรามไม่ให้เกิดเหตุการณ์การสูญเสียเช่นนี้อีกต่อไปในอนาคต