วันที่ 28 ตุลาคม 2568 นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการลงนามถ้อยแถลงแนวทางสันติภาพชายแดนไทย–กัมพูชา โดยระบุว่า เป้าหมายของการสร้างสันติภาพเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องกันอยู่แล้ว แต่ ข้อตกลงในเอ็มโอยู ยังเป็นเพียงหลักการกว้าง ๆ ที่ต้องมีการหารือรายละเอียดต่อ โดยเฉพาะเรื่องการทำงานของ “ผู้สังเกตการณ์” ซึ่งไทยจำเป็นต้องยึดตาม 4 ข้อเรียกร้องหลักที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้า เพื่อให้กระบวนการสันติภาพเดินหน้าอย่างมั่นคง
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หากรัฐบาลยืนยันยึดมั่นในหลักการดังกล่าว พร้อมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ปฏิบัติอย่างเข้มแข็ง และสร้างความเข้าใจกับประชาคมโลกว่า เหตุใด 4 ข้อนี้จึงสำคัญ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาว
เมื่อถามถึงความได้เปรียบเสียเปรียบของไทยหรือกัมพูชา นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ยังเร็วเกินไปจะตัดสิน เพราะต้องรอดูรายละเอียด เช่น บทบาทของผู้สังเกตการณ์ต่างชาติ และแนวทางดำเนินการทางการทูตและการทหารของทั้งสองฝ่าย
ข้อตกลงนี้ไม่ได้ระบุชัดว่าใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ แต่เป็นภาระสำคัญของรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคง ที่ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ ผมเคยฝากนายกฯ ไว้ว่าให้ระวัง เพราะกัมพูชาสามารถหยิบเรื่องนี้ไปพูดในเวทีนานาชาติได้ทุกเมื่อ แม้ไม่อยู่ในวาระการประชุม เราจึงต้องเตรียมพร้อมทั้งด้านการทูตและความมั่นคงควบคู่กัน นายอภิสิทธิ์กล่าว
ส่วนกรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนาม นายอภิสิทธิ์ระบุว่า แม้จะเป็นสัญญาณเชิงบวก แต่ไทยไม่ควรวางใจเพียงเพราะมีมหาอำนาจร่วมรับรู้ ต้องติดตามพฤติกรรมของกัมพูชาในทางปฏิบัติจริง และทำให้ประชาคมโลกเห็นว่า 4 เงื่อนไขหลักของไทยได้รับการปฏิบัติครบถ้วน
ชมคลิป