ย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อน วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2547 สมชาย นีละไพจิตร ทนายความวัย 53 ปี และประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม มีภารกิจตลอดวัน เขาเดินทางเข้าทำงานตั้งแต่เช้า ก่อนออกไปพบลูกความที่ย่านสีลม ในระหว่างวันได้โทรศัพท์หาลูกสาว แต่ถูกปิดเครื่อง จึงฝากข้อความว่า นี่พ่อนะ พ่อคิดถึงลูก เลยโทร.มาหา โชคดีที่ลูกสาวโทรกลับ ทั้งคู่สนทนาราว 3–5 นาที ก่อนที่ลูกความจะโทรมา ทำให้ต้องยุติการสนทนา
เวลา 19.45 น. สมชายมีนัดที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ย่านรามคำแหง และเวลา 20.30 น. เขาเดินทางกลับ พร้อมพูดกับพยานที่เห็นเขาเป็นครั้งสุดท้ายว่า พรุ่งนี้เจอกัน โดยไม่ทราบว่ามีกลุ่มคนติดตามเขามากว่า 4 วัน และใช้โอกาสนั้นลงมือ
เจ้าหน้าที่รัฐรายหนึ่งเปิดเผยกับเพื่อนร่วมงานว่า เมื่อถามสมชายว่า กำลังจะไปไหน เขาตอบเรียบ ๆ ว่า เดี๋ยวจะไปอุ้มทนายโจร
สมชายเป็นทนายคดีร้อนแรงเกี่ยวกับพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ให้ความช่วยเหลือ 5 ผู้ต้องหาคดีเจไอที่ถูกกล่าวหาว่าปล้นปืน แต่เขามีหลักฐานว่าผู้ต้องหาถูกซ้อมเพื่อให้รับสารภาพ บางคนเป็นเพียงวัยรุ่น เขายื่นคำร้องต่อศาลให้ผู้ต้องหาไปอยู่ในเรือนจำแทนชุดสอบสวน และศาลเห็นด้วย
ก่อนหน้าที่จะยื่นหนังสือคัดค้านกฎอัยการศึกในวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2547 สมชายถูกอุ้มหายกลางกรุงเทพฯ ขณะเดินทางไปยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี
เหตุการณ์นี้สร้างความสั่นสะเทือนต่อสังคม สื่อบางส่วนตราหน้าว่าเขาเป็นทนายความป่วนใต้ ขณะที่อีกส่วนนิยามว่าเขาเป็นนักสู้ การอุ้มทนายกลางเมืองเป็นสิ่งอื้อฉาว ทำให้ตำรวจเร่งสืบสวน
พยานระบุว่า เวลา 20.40 น. สมชายถูกชายฉกรรจ์ 2-3 คน ขับรถเก๋งสีดำ 2 คัน ชนท้ายและปาดหน้าใกล้โรงพัก ก่อนอุ้มขึ้นรถและหายตัวไป พยานรีบโทรแจ้ง 191 แต่เมื่อสายตรวจไปถึง 20 นาทีต่อมา ไม่พบเหตุ
รถของสมชายถูกพบทิ้งที่ขนส่งหมอชิตใหม่ มีรอยเฉี่ยวชนและร่องรอยหลักฐานถูกลบเกลี้ยง ตำรวจเชื่อว่าผู้ก่อเหตุเป็นคนในเครื่องแบบ ตรวจสอบสัญญาณโทรศัพท์พบการติดต่อก่อนและหลังการอุ้ม หัวหน้าชุดที่สั่งงานนั่งรอในห้างใกล้จุดเกิดเหตุ รับรายงานความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลจากจ่าตำรวจบก.ท่องเที่ยว ระบุว่า นายเก่าเรียกตัวไปช่วยงานอุ้ม ก่อนนำศพไปทำลายที่ไร่ในจังหวัดราชบุรี จุดสุดท้ายที่พบสัญญาณโทรศัพท์ของสมชาย
การคลี่คลายคดี 3 สัปดาห์ จับกุมตำรวจ 5 นาย แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม มีเพียงสารวัตรคนหนึ่งถูกศาลชั้นต้นจำคุก 3 ปี ก่อนถูกปล่อย ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง และหายตัวไปในเดือนกันยายน พ.ศ. 2551 ญาติแจ้งว่าถูกกระแสน้ำพัดไปพร้อมหลานชายจากคันกั้นน้ำเขื่อนแควน้อย
การต่อสู้ทางกฎหมายดำเนินไปกว่า 11 ปี จนวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกฟ้องตำรวจทั้ง 5 นาย
ลูกสาวของสมชายกล่าวว่าผิดหวังอย่างยิ่ง เพราะพ่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน แต่สุดท้ายถูกฆ่า
อังคณา นีละไพจิตร ภรรยาสมชาย ให้สัมภาษณ์หลังผลตัดสินว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา บางครั้งฉันรู้สึกหมดแรง รู้สึกราวกับว่าเป็นขอทานที่ขอความเมตตา
แม้จะผ่านเหตุการณ์เหล่านี้ บทบาทของอังคณายังคงต่อสู้ไม่ลดละ เธอพูดเพื่อให้สังคมรับรู้ความจริง และเรียกร้องผู้ก่อเหตุให้ได้รับโทษ แม้บางครั้งถูกข่มขู่และคุกคาม
อังคณากล่าวกับสื่อหลัง 20 ปีว่า ดิฉันพ่ายแพ้มาตลอด เคยถามกับตัวเองว่าคุ้มไหมกับการที่เราต้องแลกทุกอย่างในชีวิตที่เรามี เพียงเพื่อความจริงและความยุติธรรม ซึ่งสุดท้าย อาจไม่มีโอกาสได้เห็นก็เป็นได้
วันนี้ ในฐานะสมาชิกวุฒิสภา เธอยังคงเผชิญการดูถูกและเหยียดหยาม แต่ยังยืนหยัดเหมือนเดิม
เหนือกฎหมาย ยังมีกฎแห่งกรรม ข้อความของอังคณา ยังคงเป็นแรงผลักดันให้เธอสู้เพื่อความยุติธรรมและความจริง